ริค แฟลร์(Ric Flair) เปิดตัวโทเคน 'WOOOOO' บนเทเลแกรม ลุยตลาดคริปโตผ่านสติกเกอร์ดิจิทัล

ริค แฟลร์(Ric Flair) ตำนานนักมวยปล้ำระดับโลก เปิดตัวคอลเลกชันสติกเกอร์ดิจิทัลที่ใช้ชื่อของเขาเป็นโทเคนบนแพลตฟอร์ม *เทเลแกรม* เมื่อวันที่ 9 โดยโครงการตั้งเป้าเพิ่มการมีส่วนร่วมของชุมชนผ่านโทเคน และมีรายงานว่าผู้เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับผู้ถือในระยะแรก

แฟลร์กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Cointelegraph ว่า “เทเลแกรมคือที่ที่ทุกคนกำลังมารวมตัวกันอย่างแท้จริง มันรวดเร็ว เข้าถึงระดับโลก และเหมาะสมกับพลัง เอกลักษณ์ และวัฒนธรรมที่เราต้องการถ่ายทอดมากที่สุด” เขายังแสดงเจตจำนงที่จะใช้เทเลแกรมในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมของชุมชนดิจิทัล

โครงการของแฟลร์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก คอเนอร์ แมคเกรเกอร์(Conor McGregor) อดีตแชมป์ UFC เปิดตัวโทเคน ‘REAL’ เมื่อวันที่ 5 เมษายน โดยตั้งเป้าระดมทุน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ราว 35.6 ล้านบาท) แต่กลับระดมทุนได้เพียง 392,315 ดอลลาร์(ราว 14 ล้านบาท) เท่านั้น ส่งผลให้โครงการล้มเหลว สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อ่อนแรงลงในสินทรัพย์เสี่ยงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก

หลังเกษียณจากวงการมวยปล้ำเมื่อปี 2022 แฟลร์ได้ดำเนินธุรกิจแบรนด์ส่วนตัวในหลายรูปแบบ กระทั่งในปี 2024 เขาได้ออกโทเคน ‘Wooooo!’ (WOOOOO) ซึ่งตั้งชื่อตามวลีติดปากของเขาเอง กระนั้น รายงาน ณ เดือนเมษายน 2025 พบว่าโทเคนนั้นไม่มีการซื้อขายในตลาด และกว่า 70% ของเหรียญทั้งหมดถูกเก็บไว้ในที่อยู่เดียว สะท้อนถึงข้อจำกัดด้านการกระจายตัวและการเติบโตของระบบนิเวศ

ในช่วงปลายปี 2024 ตลาดมีมคอยน์ยังคงคึกคัก โดย *โดจคอยน์(DOGE)* และ *เปเป้(PEPE)* สร้างผลตอบแทนมากกว่า 1,000% แต่ภายในปี 2025 ราคาของสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ร่วงลงถึง 70-80% การชะลอตัวนี้สะท้อนแรงกดดันจากปัจจัยมหภาค เช่น สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงและความไม่แน่นอนของนโยบายดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนหันไปถือครอง *เงินสด, พันธบัตรรัฐบาล และสเตเบิลคอยน์* เป็นหลัก

แม้โครงการโทเคนของบุคคลมีชื่อเสียงจะเพิ่มความน่าสนใจในระยะสั้น แต่ *ความคิดเห็น* จากวงการชี้ว่า ความยั่งยืนในระยะยาวจำเป็นต้องขึ้นกับการสร้างคุณค่าชุมชนที่แท้จริงและโครงสร้างโทเคนที่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน

ทั้งนี้ แฟลร์มีประสบการณ์ขายสติกเกอร์และของที่ระลึกผ่านออนไลน์สโตร์และ Amazon มานานแล้ว การเปิดตัวสติกเกอร์ดิจิทัลบนเทเลแกรมครั้งนี้จึงถือเป็นอีกก้าวของการขยายแบรนด์เข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ