บิตคอยน์(BTC) ฟื้นทะลุ 112,000 ดอลลาร์ นักวิเคราะห์ชี้ยังอยู่ในตลาดกระทิง รอทะยานต่อปี 2025

บิตคอยน์(BTC) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 50% จากจุดต่ำสุดในเดือนเมษายนที่ระดับ 74,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 10.28 ล้านบาท) ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 112,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 15.57 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นในครั้งนี้ได้เข้าสู่ช่วง ‘พักฐาน’ ชั่วคราว ท่ามกลางมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่เห็นว่าการชะลอตัวดังกล่าวอาจเป็น ‘ขั้นเตรียมตัว’ ไปสู่การปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ในปี 2025 มากกว่าจะเป็นจุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น

เมื่อวันที่ 24 ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลออนเชน คริปโตควอนท์(CryptoQuant) ระบุว่า โมเมนตัมของอัตราส่วน MVRV ซึ่งสะท้อนมูลค่าตลาดเมื่อเทียบกับมูลค่าที่เกิดขึ้นจริงของบิตคอยน์ กำลังเริ่มอ่อนแรงลง แต่อัตราส่วนที่ลดลงนี้ไม่ได้ส่งสัญญาณถึงการกลับตัวเป็นขาลงในทันที กลับกัน นักวิเคราะห์จากบริษัทฯ มองว่านี่อาจเป็นสัญญาณของการเข้าสู่ช่วง ‘ปลายของวงจรตลาดกระทิง’

นักวิเคราะห์ Yonsei_dent จากคริปโตควอนท์ แสดงความคิดเห็นว่า “การที่อัตราส่วน MVRV ลดลงอย่างรวดเร็วนั้น ไม่ได้หมายความว่าตลาดขาลงได้เริ่มต้นแล้ว แต่บ่งชี้ว่าเราอาจอยู่ในช่วงท้ายของรอบขาขึ้นมากกว่า” โดยปัจจุบัน ค่าคลาดของ MVRV อยู่ที่ระดับ 2.22 ซึ่งเมื่อเทียบกับระดับสูงสุดในอดีตที่มากกว่า 3.7 ยังถือว่ามี ‘ศักยภาพการเติบโต’ อยู่มาก

อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลดีคือ สถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่คลี่คลายลง ส่งผลให้บิตคอยน์สามารถฟื้นตัวและยืนเหนือแนวเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน หรือ 106,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 14.73 ล้านบาท) ได้อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากต้องการให้ตลาดเข้าสู่ ‘ช่วงค้นหาราคาที่แท้จริง’ (Price Discovery Phase) จำเป็นต้องเห็นการฟื้นตัวของปริมาณการซื้อขายในตลาด Spot และการเคลื่อนไหวของเหรียญในระบบออนเชน

นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจำนวนมาก มองว่าบิตคอยน์จำเป็นต้องเปลี่ยนโซน 108,000–110,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 15.01–15.29 ล้านบาท) ให้กลายเป็นแนวรับอย่างชัดเจน เพื่อเปิดทางไปสู่การขึ้นราคารอบใหม่ ความสามารถในการยืนระยะบริเวณนี้จึงมีความสำคัญมาก

โดยสรุป บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังคงเชื่อมั่นว่า แม้จะมีความผันผวนในระยะสั้น แต่บิตคอยน์ยังคงอยู่ใน ‘รูปแบบตลาดกระทิง’ และการปรับฐานของ MVRV ที่เกิดขึ้นนั้น อาจเป็นเพียงการสะสมพลังเพื่อเตรียมทะยานขึ้นสู่อีกระดับในอนาคต มากกว่าจะเป็นสัญญาณของจุดจบการพุ่งขึ้นที่ผ่านมา