บิตคอยน์(BTC) กลับมายืนเหนือระดับ 148,000 ดอลลาร์อีกครั้ง หรือราว 20.6 ล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด ซึ่งแม้จะเป็นสัญญาณการฟื้นตัว แต่ตลาดยังคงเต็มไปด้วย ‘ความเสี่ยงขาลง’ ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความผันผวนในตลาดอนุพันธ์และข้อมูลแบบออนเชนที่ชี้ว่าอาจถึงจุดสูงสุดระยะสั้น ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเริ่ม ‘ระมัดระวัง’ มากขึ้น
เมื่อวันที่ 24 ที่ผ่านมา ข้อมูลจากตลาดไบแนนซ์เปิดเผยว่า ‘ปริมาณการซื้อขายสุทธิของผู้เข้าร่วมตลาดแบบทันที’ (Net Taker Volume) ทะลุ 100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3,900 ล้านบาท เป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ ซึ่งโดยทั่วไปถือเป็นสัญญาณ ‘แรงซื้อที่แข็งแกร่ง’ อย่างไรก็ตาม บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลออนเชนอย่างคริปโตควอนต์(CryptoQuant) เตือนว่า การพุ่งขึ้นของตัวเลขนี้มักมาจากการ ‘ปิดโพซิชันชอร์ตด้วยเลเวอเรจที่สูง’ หรือ ‘นักลงทุนรายย่อยเข้าสู่ตลาดอย่างรุนแรง’ ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าจะนำไปสู่การปรับฐานในระยะสั้น แทนที่จะเกิดแนวโน้มขาขึ้นอย่างยั่งยืน
ในด้านของตลาดอนุพันธ์ นักวิเคราะห์พบว่า มูลค่าของสเตเบิลคอยน์ที่ถูกถอนออกจากแพลตฟอร์มการซื้อขายมีมากกว่า 1,250 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 43,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเดือนที่ผ่านมา ปรากฏการณ์นี้อาจสะท้อนถึง ‘การเคลื่อนย้ายทุนของนักลงทุนสถาบันและผู้เล่นมืออาชีพ’ ออกไปจากสินทรัพย์เสี่ยง พร้อมบ่งชี้ถึงการลดระดับของเงินทุนเพื่อคงโพซิชันในระยะยาว
ในระดับมหภาค สหรัฐฯ เองก็กำลังเผชิญกับสัญญาณเปลี่ยนแปลงทางนโยบายการเงิน เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้การต่อสภาคองเกรสว่า ‘อาจมีความจำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ย’ หากสภาพเศรษฐกิจยังชะลอตัว ส่งผลให้บอนด์ยีลด์รัฐบาลสหรัฐแบบ 2 ปี ซึ่งถูกใช้วัดกระแสเงินระยะสั้น ลดลงอย่างชัดเจน บ่งชี้ถึง ‘ความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบาย’ ที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนนี้ยังนำไปสู่การไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงินฟรังก์สวิส ซึ่งล่าสุดแข็งค่าขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในรอบหลายปี
ในภาพรวมโครงสร้างของบิตคอยน์เริ่มปรากฏ ‘แรงกดดันเชิงโครงสร้าง’ มากขึ้น โดยข้อมูลจากไบแนนซ์เผยว่า ‘สัดส่วนการเปลี่ยนแปลงของสถานะสัญญาคงค้าง’ (Open Interest) พุ่งขึ้นมากกว่า 6% ติดต่อกันเป็นครั้งที่สาม ซึ่งจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นลักษณะนี้ตามมาด้วย ‘การขายทำกำไรในระยะสั้น’ และ ‘การลดความเสี่ยงของตลาด’ อย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน ดัชนีวัดผลกำไรของนักลงทุนระยะยาว หรือ ‘มูลค่าตลาดที่ปรับตามราคาซื้อขายจริงของผู้ถือครองยาวนาน’ (Realized Cap – LTH) ลดลงจาก 57,500 ล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 3,500 ล้านดอลลาร์ ภายในเวลาไม่นาน แสดงให้เห็นว่านักลงทุนระยะยาวเริ่ม ‘ขายเพื่อทำกำไร’ หลังจากราคาพุ่งในช่วงก่อนหน้า
*ความคิดเห็น* จากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ระบุว่า แม้สัญญาณในตลาดยังไม่ถึงขั้น ‘ฟองสบู่แตก’ หรือ ‘แนวโน้มขาลงถาวร’ แต่หลายตัวบ่งชี้ว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วง ‘ขายทำกำไร’ ซึ่งทำให้แนวโน้มขาขึ้นขาดแรงส่ง และเพิ่มความเสี่ยงของการพักฐานในระยะสั้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้าย บิตคอยน์กำลังอยู่ในเส้นทางสำคัญ ที่ต้องเลือกว่าจะสามารถต้านความไม่แน่นอนทั้งจากภายในและภายนอกได้หรือไม่ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของตลาดคริปโตครั้งนี้
ความคิดเห็น 0