อีเธอเรียม(ETH) แตะระดับราคาสูงสุดในรอบ 6 เดือน หลังมีกระแสการลงทุนจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการเปิดเผยร่างกฎหมายควบคุมสเตเบิลคอยน์ในสหรัฐฯ ซึ่งช่วยหนุนให้ราคาปรับตัวขึ้นราว *50%* จากช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน กองทุน ETF ที่อิงกับอีเธอเรียมก็บันทึกตัวเลขเงินไหลเข้ารายวันเป็นประวัติการณ์ ส่งสัญญาณว่า *ตลาดกระดานใหม่อาจเริ่มต้นขึ้นแล้ว*
เมื่อวันที่ 18 (เวลาท้องถิ่น) ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในร่างกฎหมาย ‘GENIUS’ ซึ่งถือเป็น*ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ* ที่มีกรอบกฎหมายชัดเจนเกี่ยวกับสินทรัพย์สเตเบิลคอยน์ ผู้เชี่ยวชาญในวงการมองว่า เรื่องนี้จะเป็น *จุดเปลี่ยนสำคัญในการยอมรับคริปโตและเปิดประตูสู่การลงทุนจากสถาบัน* โดยเฉพาะในฝั่งของอีเธอเรียมที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของทั้ง *ดีไฟ (DeFi)* และ *สเตเบิลคอยน์*
ในวันเดียวกัน ราคาของอีเธอเรียมพุ่งขึ้นถึง **3,677 ดอลลาร์** (ประมาณ 5.1 แสนบาท) ทำสถิติสูงสุดใหม่ตั้งแต่เดือนมกราคม เทียบกับช่วงต้นเดือนที่ราคาอยู่ต่ำกว่า 2,400 ดอลลาร์ ถือว่า *ราคาพุ่งขึ้นถึง 50%* ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ในตลาด ETF อีเธอเรียมยังสร้างเซอร์ไพรส์เมื่อ ETF แบบสปอตที่อิงกับ ETH มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในวันเดียว แซงหน้าบิตคอยน์(BTC) เป็นครั้งแรก โดยเมื่อวันที่ 17 เพียงวันเดียว มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ ETH ETF ถึง **602 ล้านดอลลาร์** (ประมาณ 8,359 ล้านบาท) ขณะที่ BTC ETF ได้รับเงินไหลเข้าที่ **522.6 ล้านดอลลาร์** (ประมาณ 7,239 ล้านบาท)
โดยเฉพาะกองทุนของแบล็คร็อกภายใต้ชื่อ ‘ETHA’ ซึ่งเป็น ETF ที่อิงกับอีเธอเรียม มียอดการลงทุนวันเดียว **มากถึง 550 ล้านดอลลาร์** (ราว 7,645 ล้านบาท) แซงหน้าผลตอบแทนของ ETF ที่อิงกับ BTC ของบริษัทเอง เจมส์ เซย์ฟาร์ท นักวิเคราะห์จาก Bloomberg เผยผ่านทวิตเตอร์ว่า *นับตั้งแต่เปิดตัวถึงปัจจุบัน มีเงินลงทุนสะสมใน ETH ETF มากกว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์* และ *มากกว่าครึ่งของตัวเลขนี้ไหลเข้าในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา*
มิคาเอล ฟาน เดอ ป็อป(Michaël van de Poppe) นักวิเคราะห์ตลาดกล่าวว่า หลังจากราคา ETH/BTC แตะจุดต่ำสุดและราคาทองคำเริ่มชะลอตัว *ตลาดเริ่มแสดงพฤติกรรมชอบความเสี่ยงมากขึ้น* ซึ่งสะท้อนว่าจะมีแนวโน้มที่อีเธอเรียมจะให้ผลตอบแทนที่แข็งแกร่งกว่า BTC ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ยังสังเกตได้ว่า *หลายบริษัทเริ่มจัดสรร ETH เป็นสินทรัพย์ในคลัง* เช่น บิตไมน์(BitMine) ที่เริ่มสะสมอีเธอเรียม และบางรายถึงขั้นวางแผนจะ *นำ ETH ไปสเตกสูงถึง 5% ของอุปทานทั้งหมด* รวมถึงบริษัทอย่าง ชาร์ฟลิงก์ และ บิตดิจิทัล ก็อยู่ในกลุ่มผู้เร่งสะสม ETH เพื่อจัดเตรียมเป็นสินทรัพย์กลยุทธ์ โดยรวมแล้ว กำลังเกิดแนวโน้มที่พันธกิจองค์กรหลายแห่งเปลี่ยนไป ใช้แนวทางเดียวกับสิ่งที่ *ไมโครสแตรทีจี(MicroStrategy)* เคยทำกับบิตคอยน์
*ความคิดเห็น*: ความเคลื่อนไหวดังกล่าวกำลังสร้างปรากฏการณ์ "ETH เป็นทองคำดิจิทัลถัดไป" โดยเฉพาะหากแนวโน้มของ ETF, การกำกับดูแลที่ชัดเจน และกลยุทธ์จัดการสินทรัพย์ของบริษัท ยังคงเดินหน้าต่อเช่นนี้ *ราคาของอีเธอเรียมยังมีศักยภาพปรับตัวขึ้นได้อีกมาก*
ความคิดเห็น 0