สหรัฐฯ เปิดแผนสะสมบิตคอยน์(BTC) เชิงกลยุทธ์ภายใต้ทรัมป์ หวังขึ้นแท่นมหาอำนาจคริปโตโลก

ทำเนียบขาวสหรัฐฯ ยืนยันแผน ‘การสะสมบิตคอยน์เชิงกลยุทธ์(BTC Reserve)’ ของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างเป็นทางการ ทำให้ความคาดหวังของวงการคริปโตเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยโบ ไฮนส์(Bo Hines) ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัลทำเนียบขาว ได้โพสต์บนทวิตเตอร์ถึงสัญญาณของการดำเนินนโยบายดังกล่าว ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้คนในวงการทันที

ประธานาธิบดีทรัมป์เคยให้คำมั่นตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งว่า จะทำให้สหรัฐฯ กลายเป็น ‘มหาอำนาจบิตคอยน์อันดับหนึ่งของโลก’ คำมั่นนี้เริ่มเป็นรูปธรรมเมื่อหลังเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ราคาบิตคอยน์ก็พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุด โดยเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อจัดตั้ง ‘โครงการสะสมบิตคอยน์เชิงกลยุทธ์ของรัฐบาลกลาง’ ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางใหม่ของสหรัฐฯ ในการจัดให้ *บิตคอยน์เป็นทรัพย์สินของชาติ*

รัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจุบันถือครองบิตคอยน์อยู่ประมาณ 200,000 BTC ส่วนใหญ่ได้จากการยึดทรัพย์ในอดีต เช่น จากการปิดแพลตฟอร์มผิดกฎหมายชื่อ ‘ซิลค์โรด(Silk Road)’ หากคำนวณจากราคาตลาดล่าสุด (1 BTC ประมาณ 10,390,000 วอน) มูลค่ารวมของบิตคอยน์เหล่านี้อยู่ที่ประมาณ *2.078 ล้านล้านวอน* ไฮนส์ย้ำว่า รัฐบาลมีแผนจะซื้อเพิ่มในอนาคตโดยไม่เพิ่มภาระภาษีให้แก่ประชาชน

ในขณะที่หลายประเทศกำลังพัฒนาแนวทางถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลระดับรัฐ สหรัฐฯ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการเป็นผู้นำในสนามนี้ นอกจากบิตคอยน์แล้ว ยังมีรายงานว่ารัฐบาลได้พิจารณาถือครองเหรียญอื่นๆ อย่าง *อีเธอเรียม(ETH), ดอจคอยน์(DOGE), โซลานา(SOL), และริปเปิล(XRP)* ด้วยเช่นกัน

แอนโธนี พอมพลิอาโน(Anthony Pompliano) พอดแคสเตอร์และนักลงทุนสายคริปโตชื่อดัง ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนบิตคอยน์อย่างแข็งขัน ได้ตอบโพสต์ของไฮนส์ด้วยอีโมจิรูป ‘ไฟ🔥’ ซึ่งสะท้อนความตื่นเต้นของชุมชนอย่างชัดเจน โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาเคยสัมภาษณ์ไฮนส์ที่ทำเนียบขาว พร้อมให้ความเห็นไปในทิศทางบวกเกี่ยวกับยุทธศาสตร์คริปโตของรัฐบาล

*ความคิดเห็น* มีความเป็นไปได้สูงว่าแผนดังกล่าวของสหรัฐฯ จะไม่ใช่แค่คำมั่นเชิงสัญลักษณ์ หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์เชิงรุกในด้านการบริหารสินทรัพย์ดิจิทัลและเสริมสร้างอธิปไตยทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ การจับตานโยบายการซื้อบิตคอยน์เพิ่มเติมในอนาคต และผลกระทบต่อทั้งตลาด จะกลายเป็นประเด็นหลักในวงการคริปโตโลกต่อจากนี้