ความต้องการ ‘อีเธอเรียม(ETH)’ จากกลุ่มสถาบันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการ ‘เคลื่อนย้ายเงินทุน’ จากบิตคอยน์(BTC)ไปสู่อัล트คอยน์อย่างเห็นได้ชัด ตามรายงานจาก Binance Research เมื่อวันที่ 24 พบว่า จำนวนบริษัทที่ถือครองอีเธอเรียมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่ยอดรวมการถือครองของภาคธุรกิจก็พุ่งขึ้นเช่นกัน
บิตคอยน์ยังคงทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์หลักของตลาด โดยราคาสูงสุดในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ประมาณ 123,000 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ความสนใจของนักลงทุน โดยเฉพาะในระดับองค์กร เริ่มหันไปหา ‘อัลท์คอยน์’ แทน สะท้อนผ่าน ‘ส่วนแบ่งตลาดของบิตคอยน์ที่ลดลง 5.2%’ มาอยู่ที่ 60.6% ขณะเดียวกัน ‘อัลต์คอยน์กลับเพิ่มขึ้นเป็น 39.2%’ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดภายในปีนี้
แนวโน้มนี้เชื่อมโยงกับปัจจัยเชิงมหภาค เช่น ความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ภาวะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนของตลาดที่ลดลง
‘อีเธอเรียม’ ถือเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด โดย ‘มูลค่ารวมของอีเธอเรียมที่บริษัทถือครองเพิ่มขึ้นถึง 127.7%’ ทะลุ 2.7 ล้าน ETH ซึ่งเทียบได้กับประมาณครึ่งหนึ่งของการถือครองใน ETF อีเธอเรียมที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ตลอดเดือนกรกฎาคม มีบริษัทมากถึง 24 แห่งที่นำ ETH มาเป็นทรัพย์สิน โดยเลือกที่จะ ‘ถือครองโดยตรง’ แทนการลงทุนผ่าน ETF ความเห็นจากวงการระบุว่า กลไกรางวัลจากสเตคกิ้ง(staking) และโครงสร้างเงินฝืดของอีเธอเรียมเป็นปัจจัยที่ทำให้สินทรัพย์นี้น่าสนใจต่อนักลงทุนองค์กร
นอกจากอีเธอเรียมแล้ว อัลท์คอยน์ตัวอื่น เช่น ริปเปิล(XRP), ซุย(SUI), อาดา(ADA), ด็อจคอยน์(DOGE), และ ไบแนนซ์คอยน์(BNB) ก็มีการเติบโตเช่นกัน ภายใต้เงื่อนไขของการพัฒนาเชิงระบบนิเวศ(development of ecosystem) และการใช้งานในดีไฟ(DeFi) ที่ขยายตัวขึ้น นี่เป็นสัญญาณว่า ‘มุมมองการลงทุนเริ่มเปลี่ยนจากการถือครองเพื่อเก็งกำไร สู่การใช้จริงในเชิงยูทิลิตี้’
อีกปัจจัยก็คือ ‘กฎหมาย GENIUS’ ที่ผ่านการรับรองโดยรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ซึ่งเป็นกรอบกำกับดูแล ‘สเตเบิลคอยน์ที่มีหลักประกันเต็มจำนวน’ ในระดับรัฐบาลกลาง ทำให้บริษัทการเงินแบบดั้งเดิม อย่าง JPMorgan, ซิตี้กรุ๊ป และวีซ่า เริ่มสนใจทดลองระบบฝากเงินผ่านสเตเบิลคอยน์ และขยายโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชำระเงิน โดยมีรายงานว่าการทำธุรกรรมผ่านสเตเบิลคอยน์บนบล็อกเชนมี ‘มูลค่ารวมเกินกว่าปริมาณการชำระเงินของวีซ่าแล้ว’
ขณะที่ตลาด NFT ก็เริ่มแสดงสัญญาณฟื้นตัว โดย Binance Research รายงานว่า ‘ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเกือบ 50%’ เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และ NFT บนพื้นฐานของอีเธอเรียมมีส่วนร่วมถึง 58% จากทั้งหมด โดยเฉพาะผลงานในซีรีส์ CryptoPunk ที่มีการซื้อขายขนาดใหญ่จาก ‘วาฬ’ ส่งผลให้ยอดขายในซีรีส์นี้เพิ่มขึ้นถึง 393% อย่างไรก็ตาม NFT บนเครือข่ายโพลิกอน(MATIC) ยังอยู่ในระดับทรงตัวหรือลดลง
รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึง ‘ความสนใจจริงจังจากภาคสถาบันและนักลงทุน’ ต่อกรณีใช้งานที่เป็นรูปธรรมของอัลท์คอยน์และเทคโนโลยีบล็อกเชน เป็นการยืนยันถึงบทบาทของสินทรัพย์เหล่านี้ในการ ‘แทนที่บางส่วนของบิตคอยน์’ โดยเฉพาะเมื่อมีโครงสร้างที่พร้อมนำไปใช้จริง เช่น สเตคกิ้ง หรือการเข้าร่วมดีไฟ ทั้งนี้ ตลาดกำลังปรับตัวเข้าสู่โครงสร้างใหม่ โดยมี ‘อีเธอเรียมเป็นแกนกลาง’ อย่างชัดเจน
ความคิดเห็น 0