อีเธอเรียม(ETH) พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงตลาดกระทิงปี 2021 โดยราคาไต่ขึ้นไปถึง 4,625 ดอลลาร์ (ประมาณ 6.42 ล้านบาท) สะท้อนโมเมนตัมของตลาดที่แข็งแกร่งอย่างชัดเจน โดยในช่วงเดือนที่ผ่านมา ราคาปรับเพิ่มขึ้นกว่า 54% และเพิ่มขึ้น 27% ภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ มูลค่าตลาดรวมของอีเธอเรียมยังพุ่งขึ้นใกล้แตะ 552,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 767.8 ล้านล้านวอน) ซึ่งห่างจากมูลค่าบริษัทระดับโลกอย่างวีซ่าเพียง 139,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
กระแสความคาดหวังจากนักลงทุนเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ โดยนักวิเคราะห์ในชื่อ Merlijn The Trader แสดงความเห็นว่า “รอบขาขึ้นครั้งนี้ต่างจากตลาดในช่วงปี 2016-2017 ที่ขับเคลื่อนโดยรายย่อยเป็นหลัก เพราะครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจาก ‘อุปสงค์อย่างล้นหลาม’ ที่เกิดขึ้นจากทั้งนักลงทุนรายย่อย วอลล์สตรีท และตลาดทั่วโลก” พร้อมเสริมว่า “หากอีเธอเรียมเดินหน้าสู่รอบขาขึ้นรุนแรงอย่างเต็มตัว ‘ไม่มีเวลามัวลังเล’ อีกแล้ว”
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จุดประกายการพุ่งขึ้นในครั้งนี้ คือ แผนการระดมทุนของบริษัทด้านการเงินที่เน้นอีเธอเรียมอย่าง บิทไมน์(BitMine) ซึ่งมีฐานอยู่ในสหรัฐฯ จากการวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชน แสดงให้เห็นว่าบิทไมน์ได้ยื่นแผนขอระดมทุนมูลค่าสูงสุดถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 27.8 ล้านล้านวอน) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) ทั้งนี้พวกเขาได้ปิดการขายหุ้นมูลค่า 4,500 ล้านดอลลาร์ไปแล้วเรียบร้อย ขณะเดียวกัน ยังถือครองอีเธอเรียมอยู่ราว 1.2 ล้านเหรียญ (มูลค่าราว 530 ล้านดอลลาร์) นอกจากนี้ หากแผนการระดมทุนลุล่วง ก็อาจทำให้บิทไมน์ครอบครองอีเธอเรียมมากกว่า 4 ล้านเหรียญ ซึ่งสามารถสร้างแรงซื้อขนาดใหญ่ในตลาดได้
ในอีกด้านหนึ่ง กองทุน ETF อ้างอิงอีเธอเรียมแบบ ‘สัญญาซื้อขายล่วงหน้า’ ก็ได้รับเงินทุนไหลเข้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากสถาบันขนาดใหญ่อย่างแบล็คร็อก ซึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลเข้าสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ในวันเดียว และตามด้วยอีก 523 ล้านดอลลาร์ในวันอังคาร รวมกันแล้วในช่วง 5 วันหลังสุดมีกระแสเงินทุนไหลเข้ามากถึง 2,300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.2 ล้านล้านวอน)
เนต เจอราซี(Nate Geraci) ประธานสถาบันวิจัย ETF Store กล่าวใน "ความคิดเห็น" ว่า “ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เงินทุนที่หลั่งไหลเข้า ETF ของอีเธอเรียม ได้แซงหน้า ETF ของบิตคอยน์(BTC) ไปแล้วถึง 1,500 ล้านดอลลาร์” พร้อมระบุว่า “ท่าทีของนักลงทุนสถาบันต่ออีเธอเรียมนั้น ‘เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน’”
ความเปลี่ยนแปลงในระดับ ‘กระแสเงินทุนขนาดใหญ่’ ทั้งจากสถาบันและวอลล์สตรีท ผสมผสานกับพฤติกรรมการถือครองของบริษัทใหญ่ ส่งผลให้การพุ่งขึ้นของอีเธอเรียมในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าครั้งที่ผ่านมา นักลงทุนต่างจับตามองว่า อีเธอเรียมจะสามารถทะลุแนวต้านระดับ ‘10,000 ดอลลาร์’ ได้ในรอบวัฏจักรใหม่ของตลาดหรือไม่
ความคิดเห็น 0