แนสแด็กเสนอกฎใหม่หนุนบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัลขนาดใหญ่ – กดดันหน้าใหม่เข้าตลาด

แพลตฟอร์มตลาดหุ้นแนสแด็กกำลังพิจารณาเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การจดทะเบียนใหม่ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อบริษัทการเงินที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีโครงสร้างมั่นคงอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็อาจกลายเป็นอุปสรรคที่เข้มงวดสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ตลาด

การปรับข้อกำหนดครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การยกระดับเกณฑ์มูลค่าหุ้นหมุนเวียนขั้นต่ำเป็น *15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 208.5 ล้านบาท)* และออกแบบกลไกใหม่เพื่อเพิกถอนบริษัทที่ไม่สามารถรักษาระดับตามเกณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ หากมูลค่าหลักทรัพย์ลดลงต่ำกว่า *5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 69.5 ล้านบาท)* บริษัทดังกล่าวอาจถูกจำกัดการซื้อขายโดยทันที ส่วนบริษัทสัญชาติจีนที่ต้องการเข้าจดทะเบียนใหม่จะต้องแสดงรายได้จากการเสนอขายหุ้นที่ไม่ต่ำกว่า *25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 347.5 ล้านบาท)*

เบรนดัน เฟอริก(Brandon Ferrick) ที่ปรึกษากฎหมายประจำบริษัทดูโรแลบส์(Douro Labs) ให้ความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้บริษัทกลุ่ม *บริษัทการเงินด้านสินทรัพย์ดิจิทัล (DAT)* ที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ได้รับการประเมินมูลค่าในตลาดที่เหนือกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิดิจิทัล หรือ *mNAV Premium* ได้มากขึ้น “บริษัท DAT ที่มีคุณภาพย่อมได้รับ ‘พรีเมียม’ ในตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่บริษัทที่ไม่มีศักยภาพจะค่อยๆ ถูกตัดออกจากระบบ” เฟอริกระบุ

แต่อย่างไรก็ดี มาตรการใหม่นี้อาจกลายเป็นภาระสำหรับบริษัทน้องใหม่ที่กำลังพิจารณาจะเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะหลังการปรับเกณฑ์หุ้นหมุนเวียน ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาของ *เพย์เปอร์คอมพานี*—หรือบริษัทเปลือกที่จัดตั้งขึ้นโดยไม่มีการดำเนินธุรกิจจริง—มีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทใหม่ต้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้นในการระดมทุน เฟอริกให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า

ทั้งนี้ เพย์เปอร์คอมพานีมักถูกใช้ในกลยุทธ์การลงทุน เช่น การระดมทุนของบริษัทเกิดใหม่ การบริหารสินทรัพย์ และโครงสร้างการควบรวมกิจการ ซึ่งรูปแบบ *บริษัทเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ (SPAC)* ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบรวมกับ DAT อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากเกณฑ์ใหม่อาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการควบรวม DAT-SPAC อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยรวมแล้ว ข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงของแนสแด็กครั้งนี้อาจเป็น *ดาบสองคม* ที่แม้จะเอื้อประโยชน์ต่อบริษัท DAT รายใหญ่ แต่ก็เพิ่ม ‘กำแพง’ สำหรับธุรกิจหน้าใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดภายใต้เป้าหมายการ ‘เสริมความแข็งแกร่งของตลาด’ การแข่งขันเพื่อให้ได้มูลค่าพรีเมียมจากสินทรัพย์สุทธิดิจิทัลจึงอาจทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต