สเตลลาร์(XLM) พุ่ง 5.4% หลังเกิดสัญญาณ 'โกลเดน ครอส' นักวิเคราะห์คาดอาจแตะ 0.50 ดอลลาร์เร็วๆ นี้

สเตลลาร์(XLM) กลายเป็นหนึ่งในเหรียญที่นักลงทุนจับตาหลังจากเกิดสัญญาณ ‘โกลเดน ครอส’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณทางเทคนิคที่มองว่าเป็น ‘ตัวบ่งชี้ขาขึ้น’ โดยเกิดจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดผ่านเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวจากด้านล่างขึ้นไป ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ราคา *สเตลลาร์* ปรับตัวขึ้นมากกว่า 4% ทำให้ตลาดเริ่มคาดหวังถึงการฟื้นตัวรอบใหม่

ข้อมูลราคาล่าสุดแสดงว่า *สเตลลาร์* เคลื่อนไหวระหว่าง 0.3574 ดอลลาร์ถึงระดับสูงสุดที่ 0.3831 ดอลลาร์ (ราว 533 บาท) และปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 0.3815 ดอลลาร์ (530 บาท) เพิ่มขึ้นถึง 5.4% ภายในวันเดียว แต่ยังไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ระดับสำคัญ 0.40 ดอลลาร์ (ราว 556 บาท) ซึ่งชี้ให้เห็นว่ายังไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่ตลาดคาดหวังอย่างเต็มที่

ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ราคา *สเตลลาร์* ร่วงลงจากระดับสูงสุดที่ 0.452 ดอลลาร์ (628 บาท) ทำให้ปรับฐานครั้งใหญ่กว่า 15% ส่งผลให้หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า ราคากำลังเข้าสู่ ‘แนวโน้มขาขึ้นอย่างจริงจัง’ หลังจากการย่อตัว อย่างไรก็ตาม การที่ราคายังไม่สามารถฝ่าด่านแนวต้านได้ ก็ทำให้การฟอร์มตัวรอบนี้ดู ‘น่าผิดหวัง’

สิ่งที่น่าสนใจคือ ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยปรับขึ้นถึง 84.95% ภายในวันเดียว สู่ระดับ 333.21 ล้านดอลลาร์ (ราว 4,637 ล้านบาท) ซึ่งแสดงว่า ‘สภาพคล่องในตลาดยังคงแข็งแกร่ง’ แม้แรงซื้อจำนวนมากยังไม่สะท้อนในราคาชัดเจน แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า หากมีการทะลุแนวต้านได้ ตลาดอาจตอบสนองอย่างรุนแรง

นักวิเคราะห์บางรายมองว่า หาก *สเตลลาร์* สามารถผ่านแนวต้านที่ 0.405 ดอลลาร์ (563 บาท) ได้ ก็มีแนวโน้มจะพุ่งต่อไปสู่ระดับ 0.47 ดอลลาร์ (653 บาท) และหากแนวโน้มราคาขึ้นวันละ 3% อย่างต่อเนื่อง ก็อาจแตะระดับ 0.50 ดอลลาร์ (695 บาท) ในอีกไม่ช้า ทำให้เดือนกันยายนกลายเป็น ‘จุดเปลี่ยนสำคัญ’ ของราคา

อีกประเด็นที่ทำให้ *สเตลลาร์* ถูกจับตาคือเรื่อง ‘ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี’ โดยข้อมูลระบุว่า เหรียญนี้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 288% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับ บิตคอยน์(BTC) ที่เพิ่มขึ้นเพียง 88% และ อีเธอเรียม(ETH) ที่เพิ่มขึ้น 73% เท่านั้น ทำให้ *สเตลลาร์* กลับมาได้รับความสนใจในฐานะทรัพย์สินดิจิทัลที่น่าลงทุนอีกครั้ง

หลังจากผ่านความผันผวนเดือนสิงหาคมไปได้ สัญญาณ ‘โกลเดน ครอส’ ครั้งนี้อาจทำหน้าที่เป็น ‘ตัวเร่ง’ ให้เกิดการปรับฐานขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะตัดสินทิศทางที่แท้จริงของราคา *สเตลลาร์* อยู่ที่การ ‘ทะลุแนวต้านสำคัญ’ ให้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นการยืนยันว่าการฟื้นตัวครั้งนี้ มีแรงส่งเพียงพอหรือไม่ ความเคลื่อนไหวหลังการดีดตัวครั้งนี้ จะเป็นตัวชี้ขาดสำคัญสำหรับทิศทางในอนาคต