วาฬเทขาย XRP กว่า 40 ล้านเหรียญใน 24 ชม. แต่ราคายังทรงตัวที่ 3.02 ดอลลาร์

ตลาดของริปเปิล(XRP) กลับมาเผชิญกับความผันผวนอีกครั้ง หลังจากที่นักลงทุนรายใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า ‘วาฬ’ ได้ทำการขายเหรียญ XRP ออกไปมากถึง 40 ล้านเหรียญภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากการวิเคราะห์บนบล็อกเชนเผยว่า การเทขายครั้งนี้เกิดจากกระเป๋าที่มีการถือครองอย่างน้อย 10 ล้านเหรียญ และบางกระเป๋าถือมากถึง 100 ล้านเหรียญ หากคิดเป็นมูลค่าตามราคาตลาดในปัจจุบัน จะอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 166,800 ล้านบาท

ตามข้อมูลบนเชน พบว่าที่อยู่ของวาฬกลุ่มนี้ได้ลดปริมาณ XRP ที่ถืออยู่รวมกันลงประมาณ 4 ล้านเหรียญ จากเดิม 7,780 ล้านเหรียญ เหลือ 7,740 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นสัญญาณว่ากลุ่มนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่บางรายได้มีการปรับพอร์ต นักลงทุนบางส่วนมักมองว่าการเทขายลักษณะนี้อาจกดดันราคาของ XRP ให้ลดลงในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ในครั้งนี้แตกต่างออกไป ราคาของ XRP ยังคง ‘ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 3.02 ดอลลาร์’ หรือประมาณ 4,198 บาท ท่ามกลางการขายจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึง ‘ความเสถียรของราคา’ และแรงซื้อที่แข็งแกร่งในตลาด เป็นสัญญาณสนับสนุนว่า XRP ยังคงมีฐานความต้องการที่แน่นหนา และมีผู้สนับสนุนระยะยาวที่พร้อมเข้าซื้อในภาวะปรับฐาน

ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า การลดการถือครองของวาฬครั้งนี้อาจเชื่อมโยงกับการฟื้นตัวของ XRP นับตั้งแต่จุดต่ำสุดช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยกลุ่มผู้ถือระยะยาวบางรายอาจเลือกทยอยขายทำกำไรหลังจากราคาฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์มองว่าหากพิจารณาในมุมของนักลงทุนที่มีมุมมองบวกระยะกลางถึงยาว การปรับตัวลงของราคาอาจเปิดโอกาสในการเข้าซื้อสะสม

บรรดานักลงทุนในตลาดต่างจับตาว่า ราคาจะสามารถเดินหน้าไปต่อได้หรือไม่ ภายหลังจากแรงขายของวาฬในรอบนี้ เพราะในอดีตพฤติกรรมเช่นนี้มักเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่แนวโน้มราคาจะพลิกเปลี่ยน โดยข้อมูลยังชี้ว่า ณ ปัจจุบัน สัดส่วน XRP ที่ถือครองโดยวาฬยังอยู่ในระดับสูงกว่าจุดต่ำสุดช่วงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งหมายความว่ายังมี ‘แรงเหลือสำหรับการปรับขึ้นราคาในอนาคต’

กรณีล่าสุดนี้สะท้อนมากกว่าการขายทำกำไร เพราะแม้จะมีแรงขายมาก ตลาด XRP ยังสามารถ ‘รักษาเสถียรภาพ’ ได้อย่างน่าทึ่ง จึงเป็นอีกครั้งที่ XRP แสดงให้เห็นถึงคุณค่าในฐานะ ‘โทเค็นที่มีสภาพคล่องสูงและไม่อาจถูกแทนที่ได้’ ซึ่งอาจสัมพันธ์กับความต้องการของสถาบันการเงินหรือแรงเก็งกำไรจากประเด็น ETF ที่ยังคงอยู่ในกระแสตลาด