บิตคอยน์(BTC) แกว่งในกรอบ 115,000–125,000 ดอลลาร์ ท่ามกลางแรงขายจากวาฬและดีมานด์ ETF ที่ลดลง

บิตคอยน์(BTC) ยังคงแกว่งตัวในช่วงราคา 115,000 ถึง 125,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.6 ถึง 1.73 ล้านบาท) ท่ามกลางแรงเทขายอย่างหนักจากกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘วาฬ’ ซึ่งได้ทำให้ตลาดเผชิญสภาพ ‘อุปทานล้นเกิน’ โดยในช่วง 30 วันที่ผ่านมา กลุ่มผู้ถือครองรายใหญ่ได้เทขายบิตคอยน์มากถึง 116,000 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 13,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 487,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022

นักวิเคราะห์ตลาดนามว่า Doctor Profit เปิดเผยผ่าน X เมื่อวันที่ 14 ว่า *ช่วงราคาระหว่าง 115,000 ถึง 125,000 ดอลลาร์ เป็นโซนหลักที่นักลงทุนรายใหญ่ใช้เพื่อทำกำไร* เขายังเสริมอีกว่า อัตราการไหลเข้าของเงินทุนในกองทุน ETF บิตคอยน์แบบสปอตนั้น ลดลงเหลือเฉลี่ยเพียง 500 BTC ต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าระดับสูงสุดในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมอย่างมีนัยสำคัญ

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่าความต้องการใน ETF ต่ำ ประกอบกับแรงขายมหาศาล ทำให้บิตคอยน์สูญเสียแรงขับเคลื่อนทางบวก และเข้าสู่สภาวะไม่สมดุลระหว่างดีมานด์และซัพพลาย ขณะที่ยังไม่มีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มของราคาจึงยังคงแกว่งในกรอบแคบ

แม้สถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จะยังคงดำเนินอยู่ โดยเฉพาะคำขู่ของ *ประธานาธิบดีทรัมป์* ต่อจีนเกี่ยวกับมาตรการภาษีที่สูงขึ้น รวมถึงท่าทีแข็งกร้าวต่อรัสเซียเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่บิตคอยน์ยังคงรักษาระดับไว้เหนือ 116,000 ดอลลาร์ได้อย่างมั่นคง ซึ่ง ‘ความคิดเห็น’ สะท้อนว่าตลาดในตอนนี้ให้ความสำคัญกับสภาพคล่องมากกว่าข่าวการเมือง

จากข้อมูลของ CoinGecko ราคาบิตคอยน์ ณ ต้นเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นกว่า 8% ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 116,514 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.618 ล้านบาท) แม้ว่าราคาจะลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่ผลตอบแทนรายปีของ BTC ยังอยู่ที่ *บวก 93.7%* ส่วนความผันผวนในรอบ 24 ชั่วโมงล่าสุดอยู่เพียง 0.4% เท่านั้น

ในอดีตเดือนกันยายนมักไม่เป็นมิตรกับบิตคอยน์ หากปีนี้ยังคงรักษาทิศทางขาขึ้นต่อไป จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ไม่ธรรมดาอย่าง “สามปีซ้อนที่เดือนกันยายนให้ผลตอบแทนบวก” ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา BTC ถูกซื้อขายในกรอบระหว่าง 110,870 ถึง 116,705 ดอลลาร์ โดยระดับ 115,000 ดอลลาร์ได้กลายเป็นแนวรับ-ต้านหลักที่ตลาดจับตามอง

อีกมุมหนึ่ง เม็ดเงินบางส่วนเริ่มเคลื่อนย้ายจากบิตคอยน์ไปยังอัลท์คอยน์ โดยเฉพาะ *ดอจ์คอยน์(DOGE)* และ *PEPE* ที่พุ่งขึ้นในอัตราสองหลักเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของบิตคอยน์ลดลงเหลือ 55.7%

ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องว่า หากบิตคอยน์ต้องการฝ่าแนวต้านในช่วงราคาปัจจุบัน จำเป็นต้องมี *เงินทุนจากสถาบันและความต้องการ ETF ที่กลับมาอย่างต่อเนื่อง* หากไม่เป็นเช่นนั้น แรงขายจาก ‘วาฬ’ และการไหลเข้าของเงินทุนที่เบาบางจะยังคงฉุดให้ BTC เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบจำกัดต่อไปอีกระยะหนึ่ง