ปริมาณการถือครอง *บิตคอยน์(BTC)* ระยะยาวพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้สภาพคล่องของตลาดลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยอ้างอิงจากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ออนเชน Glassnode เมื่อวันที่ 24 พบว่า ปริมาณ *ซัพพลายที่ไม่มีสภาพคล่อง* (illiquid supply) ซึ่งหมายถึงเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าที่ไม่มีการขายมาอย่างน้อย 7 ปี อยู่ที่ระดับ 143,000 BTC คิดเป็นมากกว่า *72%* ของอุปทานทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า บิตคอยน์จำนวนนี้แทบจะไม่ถูกนำออกมาซื้อขายในตลาดเลย
แนวโน้มการสะสมบิตคอยน์ระยะยาวยังคงเร่งตัวอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา มีบิตคอยน์จำนวนกว่า 422,430 เหรียญไหลเข้าสู่กระเป๋าที่มีลักษณะ *ไม่มีสภาพคล่อง* ถือเป็นระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์เรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของนักลงทุนที่เน้น *การถือครองระยะยาว* มากกว่าการทำกำไรในช่วงสั้น
ในขณะเดียวกัน ปริมาณบิตคอยน์ใหม่ที่เข้าสู่ตลาดจากการขุดนั้นลดลงต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกัน กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ หรือที่เรียกว่า *วาฬ* กำลังดูดซับปริมาณบิตคอยน์ใหม่นี้ในสัดส่วนที่มากกว่า *3 เท่า* ของจำนวนที่ขุดได้ต่อวัน ความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานแบบนี้ ชี้ให้เห็นแนวโน้มของตลาดที่รัดตัวมากขึ้น และ *เพิ่มความเป็นไปได้* ที่ราคาจะผันผวนหรือปรับตัวขึ้นในระยะอันใกล้
ในจำนวนบิตคอยน์ทั้งหมดประมาณ 19.92 ล้านเหรียญทั่วโลก พบว่ามีมากถึง 14.3 ล้านเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าระยะยาว และไม่ถูกนำออกมาใช้ในตลาดเลย นักลงทุนจำนวนมากมองว่าการถือครองในลักษณะนี้กำลัง *ตอกย้ำความหายาก* ของสินทรัพย์ จนเริ่มมีความเชื่อว่าหลังจากการ *Halving* ที่กำลังจะเกิดขึ้น แรงกดดันด้านอุปทานจะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านนักวิเคราะห์บางรายแสดงความเห็นว่า *บิตคอยน์อาจจะทำสถิติราคาสูงสุดใหม่* ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แม้ตลาดจะเผชิญความไม่แน่นอนจากสถานการณ์มหภาคและท่าทีของ *ประธานาธิบดีทรัมป์* ต่อคริปโต อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการสะสมของนักลงทุนระยะยาวยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานของบิตคอยน์ยิ่งน่าเชื่อถือในระยะยาว ความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เห็นพ้องว่า หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ราคาของบิตคอยน์มีโอกาสไปได้อีกไกล
ความคิดเห็น 0