ดอจคอยน์(DOGE) พุ่ง 15% ในสัปดาห์เดียว วาฬสะสมกว่า 30 ล้านเหรียญ หนุนแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่

ดอจคอยน์(DOGE) กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากราคาพุ่งขึ้นกว่า 15% ภายในสัปดาห์เดียว พร้อมกับแรงซื้อจากนักลงทุนรายใหญ่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายมองว่านี่อาจเป็นสัญญาณของการกลับสู่ตลาดขาขึ้นอีกระลอก

ตามข้อมูลจาก อาลี มาร์ติเนซ(Ali Martinez) นักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัล ชี้ว่ากระเป๋าเงินขนาดใหญ่ที่ถือครองดอจคอยน์ในช่วง 1 ล้านถึง 10 ล้าน DOGE ได้ทำการสะสมเพิ่มกว่า 30 ล้าน DOGE ภายในวันเดียว หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ราว 111.2 ล้านบาท) ส่งผลให้ยอดถือครองรวมในกลุ่มนี้แตะ 11,000 ล้าน DOGE คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7% ของปริมาณหมุนเวียนในตลาด *การสะสมในระดับนี้สะท้อนความเชื่อมั่นในตลาด และอาจผลักดันราคาขึ้นได้ในระยะต่อไป*

ดอจคอยน์ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ราว 0.26 ดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 361 บาท) โดยนักวิเคราะห์บางรายยังแสดงมุมมองในเชิงบวก คลิฟตัน FX เทรดเดอร์ชื่อดังได้เปรียบเทียบกับการพุ่งขึ้นของอีเธอเรียม(ETH) และประเมินว่าดอจคอยน์มีแนวโน้มพุ่งขึ้นสูงสุดถึง 0.74 ดอลลาร์สหรัฐ(ราว 1,029 บาท) หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 200–300% ทั้งนี้ จากสัญญาณวิเคราะห์ทางเทคนิคยังปรากฏรูปแบบ ‘ถ้วยและหูจับ’ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่อาจนำไปสู่การขึ้นแตะระดับ 0.30 ดอลลาร์สหรัฐ(ราว 417 บาท) ในระยะสั้น

ขณะเดียวกัน มูลค่าตลาดของดอจคอยน์ก็เพิ่มขึ้นแตะ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ราว 5.56 แสนล้านบาท) ส่งผลให้ครองส่วนแบ่งมากกว่าครึ่งของตลาดมีมคอยน์ ส่งผลให้ทิ้งห่างชิบะอินุ(SHIB) ซึ่งเป็นคู่แข่งอันดับ 2 ถึงกว่า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ราว 4.45 แสนล้านบาท) แม้ยังมีผู้ท้าชิงหน้าใหม่อย่างเปเป้(PEPE), พัมพ์ฟัน(Pump.fun) และเพนกู(PENGU) แข่งขัน แต่ *ดอจคอยน์ยังคงตอกย้ำสถานะ 'เจ้าแห่งมีมคอยน์' อย่างมั่นคง*

ที่น่าสนใจคือในขณะนี้การเข้าร่วมของนักลงทุนรายย่อยยังไม่สูงนัก หากแรงซื้อจากกลุ่มนี้เริ่มเข้ามา ก็อาจเร่งให้ราคาขึ้นต่อเนื่องได้ เนื่องจาก *หลักการเศรษฐศาสตร์พื้นฐานที่ว่า เมื่ออุปทานลดลงและอุปสงค์ยังคงอยู่ ราคาย่อมมีแนวโน้มขาขึ้น*

ปัจจัยร่วมทั้งการสะสมของวาฬ, สัญญาณเทคนิคเชิงบวก และการกลับมายึดพื้นที่ในมีมคอยน์ ล้วนสะท้อนว่า *ดอจคอยน์กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการวิ่งรอบใหม่* อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงทุนในเวลานี้ซับซ้อนกว่าในอดีต ปัจจัยด้านจิตวิทยาตลาดและสถานการณ์โลกยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ