เดวิด ชวาร์ตซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของริปเปิล(Ripple) ออกมาอธิบายข้อสงสัยของตลาดเกี่ยวกับการใช้บิตคอยน์(BTC) เป็นเครื่องมือในการชำระเงิน โดยเน้นถึง ‘เหตุผลทางเศรษฐกิจ’ ที่อยู่เบื้องหลังการใช้คริปโตที่คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคตมาใช้จ่ายตั้งแต่ตอนนี้
จุดเริ่มต้นของประเด็นนี้มาจากการที่บริษัทสแควร์ (Square) ของแจ็ก ดอร์ซีย์(Jack Dorsey) ประกาศว่าจะเปิดให้ผู้ค้ากว่า 4 ล้านรายในสหรัฐสามารถรับชำระเงินด้วยบิตคอยน์ โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะ ‘ชำระเป็นบิตคอยน์→บิตคอยน์’, ‘บิตคอยน์→เงินสด’, ‘เงินสด→บิตคอยน์’ หรือ ‘เงินสด→เงินสด’ ทั้งนี้บริษัทระบุว่าจะไม่มีค่าธรรมเนียมการชำระเงินจนถึงปี 2027
หลังประกาศของสแควร์ มีผู้ใช้งานรายหนึ่งบนแพลตฟอร์ม X ย้อนถามว่า “ใครจะใช้บิตคอยน์ ซึ่งมีแนวโน้มจะมีมูลค่าสูงขึ้นในการชำระเงินในตอนนี้?” ซึ่งชวาร์ตซ์ตอบกลับว่า “ใครก็ใช้ได้หมด” พร้อมอธิบายว่า ถ้าผู้รับต้องการสินทรัพย์ใดเป็นพิเศษ การชำระด้วยสินทรัพย์นั้นก็จะมี ‘ประสิทธิภาพสูงสุด’ พร้อมยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า “การใช้บิตคอยน์เป็นการเปลี่ยนผลตอบแทนในอนาคตให้กลายมาเป็นมูลค่าในปัจจุบัน ซึ่งนั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่มันมีราคาสูง”
คำตอบของชวาร์ตซ์ได้จุดประกายการอภิปรายอีกครั้งว่า บิตคอยน์ควรถูกพิจารณาในฐานะเครื่องมือในการชำระเงินหรือไม่ แม้ที่ผ่านมา บิตคอยน์มักถูกมองว่าเป็น ‘เครื่องเก็บรักษามูลค่า’ มากกว่าเครื่องมือสำหรับการซื้อขายโดยตรง อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของสแควร์อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนมุมมองนี้
ในขณะเดียวกัน เรื่องราวของการใช้บิตคอยน์เป็นครั้งแรกในชีวิตจริงก็ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง โดยในปี 2010 ลาส์ชโล ฮานเยซ (Laszlo Hanyecz) นักพัฒนาได้ซื้อพิซซ่าสองถาดในราคา 10,000 BTC ซึ่งตอนนั้นมีมูลค่าราว 41 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 53,000 บาท) แต่เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบัน 10,000 BTC มีมูล่าสูงถึงประมาณ 1.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 14,300 พันล้านบาท)
แม้การใช้บิตคอยน์เพื่อการชำระเงินยังมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่ ‘ความคิดเห็น’ ของชวาร์ตซ์สะท้อนให้เห็นว่าตลาดอาจเริ่มยอมรับแนวคิดที่ว่า ราคาของบิตคอยน์ในปัจจุบันได้สะท้อน ‘ความคาดหวังในอนาคต’ ไปแล้ว ซึ่งอาจทำให้มันมีศักยภาพในการทำหน้าที่เป็น ‘สกุลเงิน’ ในยุคดิจิทัลที่แท้จริงในอนาคต
ความคิดเห็น 0