บริษัทจัดการสินทรัพย์ของสหรัฐอย่าง ‘สไตรฟ์’(Strive) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทที่นำ *บิตคอยน์(BTC)* มาใช้เป็นกลยุทธ์ทางการเงิน ได้ประกาศโครงการขายหุ้นมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ (ราว 7,351 พันล้านวอน) เพื่อระดมทุนซื้อลงทุนเพิ่มเติมใน *บิตคอยน์* เมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) นับเป็นอีกหนึ่งกรณีที่บริษัทจดทะเบียนเปิดตัวกลยุทธ์เข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลผ่าน ‘ตลาดทุน’
สไตรฟ์ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 โดยนักธุรกิจและนักการเมืองชื่อ วิเวก รามาสวามี(Vivek Ramaswamy) โดยบริษัทเปิดเผยว่าจะนำเงินทุนที่ได้จากการขายหุ้นไปใช้เพื่อซื้อ *บิตคอยน์* ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการบริหารธุรกิจ ถึงแม้บริษัทไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายการลงทุนในอนาคต แต่ระบุว่ามีการพิจารณาทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้เพิ่มเติม
กลยุทธ์ดังกล่าวถือเป็นการสานต่อแนวทางของบริษัทสเตรเทจี้(Strategy) ที่นำโดย ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดใน *บิตคอยน์* โดยเน้นการใช้คริปโตเป็น ‘สินทรัพย์สำรอง’ ขององค์กร ปัจจุบันแนวโน้มการที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก(Nasdaq) รวม *บิตคอยน์* เข้ามาเป็นพอร์ตการลงทุนระยะยาว ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง
ณ ปัจจุบัน สไตรฟ์ครองอันดับ 14 ในรายชื่อบริษัทที่ถือ *บิตคอยน์* ไว้มากที่สุดในโลก โดยมีจำนวนรวม 7,525 BTC คิดเป็นมูลค่าราว 107 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1 แสนล้านวอน ที่ราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ทั้งนี้ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทรายนี้ได้ดำเนินกระบวนการ ‘ควบรวมกลับด้าน’ เพื่อยกระดับ *บิตคอยน์* เป็นสินทรัพย์หลักขององค์กร และในเดือนกันยายนได้เข้าซื้อกิจการของบริษัทด้านอุปกรณ์การแพทย์อย่าง เซมเลอร์ ไซเอนทิฟิก(Semler Scientific) อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการเพิ่มปริมาณการถือครอง BTC อย่างรวดเร็ว
นอกเหนือจากการลงทุนในคริปโต สไตรฟ์ยังดำเนินกิจการในด้าน ETF อย่างโดดเด่น โดยเปิดตัวกองทุน ETF แรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2022 และภายหลังสามารถผลักดันให้มูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (AUM) ทะลุ 2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.94 ล้านล้านวอน) ผลการเติบโตนี้ยังส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัท (Ticker: ASST) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยล่าสุดในวันอังคารที่ผ่านมาราคาหุ้นอยู่ที่ 1.02 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,500 วอน เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวตั้งแต่ต้นปี
*ความคิดเห็น* กลยุทธ์ของสไตรฟ์สะท้อนถึงเทรนด์ใหม่ในแวดวงคริปโต คือการที่บริษัทย้ายจุดศูนย์กลางจากแนวทางเทคโนโลยีไปสู่แนวทางด้านการเงิน โดยเห็นได้จากการใช้ตลาดทุนเพื่อเร่งสะสมสินทรัพย์ดิจิทัล และใช้ *บิตคอยน์* เป็นแกนหลักของการจัดการพอร์ตองค์กร
ความคิดเห็น 0