บิตคอยน์(BTC) ลุ้นทะลุแนวต้าน 100,000 ดอลลาร์ ท่ามกลางความเสี่ยง ‘Dead Cat Bounce’

ราคาบิตคอยน์(BTC) ยังคงพยายามจะฝ่าด่านจิตวิทยาที่ระดับ 100,000 ดอลลาร์ หรือราว 3.6 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์มองว่า การจะผ่านแนวต้านนี้ได้ ราคาต้องทะลุเหนือระดับ 94,589 ดอลลาร์ (ประมาณ 3.4 ล้านบาท) ให้ได้เสียก่อน อย่างไรก็ดี นักลงทุนบางรายเตือนว่านี่อาจเป็นเพียงการดีดตัวชั่วคราว หรือที่เรียกว่า ‘Dead Cat Bounce’ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานต่อเนื่อง จึงควรลงทุนอย่างระมัดระวัง

เมื่อวันที่ 11 (เวลาท้องถิ่น) ราคาบิตคอยน์เผชิญแรงขายบริเวณระดับ 94,589 ดอลลาร์ จนเกิดการอ่อนตัวเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาระดับเหนือแนวรับสำคัญที่ 92,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 3.3 ล้านบาท) ได้อยู่ ความสนใจของตลาดในขณะนี้อยู่ที่แถลงการณ์ของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และการเปิดเผย ‘Dot Plot’ หรือคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการเฟด

บรรดานักลงทุนยังคงมีมุมมองที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับสถานการณ์ขณะนี้ ว่าการฟื้นตัวของบิตคอยน์เป็นสัญญาณถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่ หรือเป็นเพียงการพักตัวสั้นๆ ก่อนราคาร่วงลงอีก ด้านนักวิเคราะห์นามแฝงที่ใช้ชื่อว่า ‘Colin Talks Crypto’ ระบุผ่าน X (อดีตทวิตเตอร์) ว่าราคาบิตคอยน์อาจดิ่งลงไปถึงระดับ 74,000 ถึง 77,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.6 – 2.7 ล้านบาท) โดยให้เหตุผลจากการเกิดรูปแบบทางเทคนิคอย่าง ‘Bear Flag’ หรือ ‘ธงหมี’ ซึ่งมักบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่บิตคอยน์ยังคงเป็นจุดสนใจหลัก แต่ราคาของอีเธอเรียม(ETH) กลับแสดงพลังได้แข็งแกร่งกว่าชัดเจน ตรงข้ามกับเหรียญอย่างคาร์ดาโน(ADA), โพลกาดอต(DOT) และเชนลิงค์(LINK) ที่ดูเหมือนจะไม่สามารถรักษาแรงดีดตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ่งชี้ว่ากระแสความต้องการในตลาดคริปโตยังเน้นหนักไปที่บิตคอยน์ ขณะที่ทัศนคติที่มีต่อความเสี่ยงโดยรวมยังไม่กลับมาอย่างเต็มที่

ปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางระยะต่อไปของตลาดยังคงขึ้นอยู่กับสัญญาณจากนโยบายการเงินของเฟดและตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาคอื่นๆ ถ้าหากบิตคอยน์สามารถฝ่าระดับ 94,589 ดอลลาร์ได้สำเร็จ การทดสอบแนวต้านจิตวิทยาที่ 100,000 ดอลลาร์ก็จะเป็นไปได้ในลำดับถัดไป แต่หากไม่อาจทะลุด่านดังกล่าวและแรงขายเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ตลาดก็คงยังไม่พ้นช่วงการปรับฐานนัก

ความคิดเห็น: นักลงทุนควรติดตามการแถลงจากเฟดและสัญญาณทางเทคนิคอย่างใกล้ชิด พร้อมพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ความผันผวนกำลังกลับมาสูงขึ้น การเลือกลงทุนในอีเธอเรียมซึ่งแสดงความแข็งแกร่งอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าสำหรับการจัดการความเสี่ยงในระยะสั้น