มูลนิธิจิโต(Jito Foundation) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาแพลตฟอร์มจิโตบนเครือข่ายโซลานา(SOL) ประกาศย้ายฐานกลับไปยังสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง โดยระบุเหตุผลสำคัญว่า สภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบของสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐฯ เริ่ม ‘ชัดเจนมากขึ้น’ การตัดสินใจครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อคริปโต ซึ่งเริ่มผ่อนคลายลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
โครงการจิโตมุ่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ ‘มูลค่าสูงสุดที่สกัดได้’ หรือ MEV (Maximal Extractable Value) บนเครือข่ายโซลานา โดย MEV คือกระบวนการสร้างกำไรจากการควบคุมลำดับการทำธุรกรรมบนบล็อกเชน เช่น การเทรดแบบอาร์บิทราจหรือการทำธุรกรรมแบบหน้าด้าน (Front-running) การดำเนินการที่ซับซ้อนเหล่านี้มักเกิดขึ้นก่อนที่บล็อกจะถูกตรวจสอบและบันทึกลงในเครือข่าย โดยผู้ตรวจสอบสามารถเลือกจัดเรียงธุรกรรมเพื่อเก็งกำไรได้
แม้มูลนิธิจิโตเคยดำเนินงานในสหรัฐฯ มาก่อน แต่ต้องย้ายสำนักงานออกไปเนื่องจากแรงกดดันจากการกำกับดูแลที่เข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินในประเทศที่ปฏิเสธให้บริการกับบริษัทคริปโต ลูคัส บรูเดอร์(Lucas Bruder) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งของจิโตแล็บส์ เปิดเผยผ่านโซเชียลมีเดียว่า “ธนาคารไม่ยอมแม้แต่จะพูดคุยกับเรา ส่วนผู้ให้บริการภายนอก(Vendor) ก็ปฏิเสธจะทำสัญญาด้วย เราไม่สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงทางกฎหมายได้เลย เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของหน่วยงานกำกับ”
สถานการณ์ดังกล่าวเป็นผลพวงจากนโยบาย ‘Operation Chokepoint 2.0’ ของสหรัฐฯ ระหว่างปี 2022-2023 ซึ่งพยายามจำกัดการเข้าถึงบริการทางการเงินของบริษัทในวงการคริปโต ส่งผลให้หลายโครงการต้องออกจากระบบธนาคารและย้ายไปตั้งสำนักงานในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การกลับมาของมูลนิธิจิโตครั้งนี้อาจบ่งบอกถึงทิศทางใหม่ที่เป็นมิตรกับคริปโตมากขึ้นในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงที่ *ทรัมป์* ส่งสัญญาณหนุนเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างโจ่งแจ้ง และพรรครีพับลิกันเร่งผลักดันนโยบายยกเลิกข้อจำกัดเดิม ความคิดเห็น: หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินไป ความหวังในการนำเทคโนโลยีอย่าง MEV เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหลักยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้น และอาจทำให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นศูนย์กลางของบล็อกเชนระดับสูงได้อีกครั้ง
ความคิดเห็น 0