หากคุณเคยนั่งพูดคุยในวงสนทนาหรือร่วมโต๊ะกับครอบครัว แล้วคำว่า ‘บล็อกเชน’ โผล่ขึ้นมาในบทสนทนา การตอบกลับด้วยคำว่า ‘สมาร์ตคอนแทรกต์’, ‘ดีไฟ’ หรือ ‘ดีพิน(DePIN)’ อาจทำให้การสนทนากลับกลายเป็นเรื่องเข้าใจยาก ทั้งที่จริงแล้ว ‘เทคโนโลยี’ ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกเน้นเป็นอันดับแรก แต่กลับเป็นคำถามว่าเทคโนโลยีนี้มีประโยชน์กับเราอย่างไร — นั่นแหละคือสิ่งที่ควรเริ่มพูดถึง จุดแข็งของผู้ที่ไม่ได้ติดตามคริปโตทุกวันจึงอาจอยู่ที่มุมมองที่เรียบง่ายและเข้าถึงใจคนทั่วไปได้ดีกว่าแม้จะไม่ได้ทำงานในสายงานนี้โดยตรงก็ตาม
หนึ่งในแนวคิดที่ช่วยอธิบายคริปโตได้ชัดเจน มาจากนักวิเคราะห์เทคโนโลยีอย่าง ‘เบน ทอมป์สัน(Ben Thompson)’ เจ้าของจดหมายข่าวชื่อดัง ‘Stratechery’ ซึ่งถึงแม้จะพูดถึงคริปโตเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี แต่กลับสามารถถ่ายทอดแก่นของมันได้ตรงจุด เขานิยามบล็อกเชนว่าเป็น ‘ระบบที่นำพาผู้คนไปสู่ฉันทามติได้โดยไม่พึ่งอำนาจส่วนกลาง’ ซึ่งแปลว่า ผู้ใช้งานจำนวนมากสามารถใช้บัญชีเดียวกันได้โดยไม่ต้องมีคนกลางมาตรวจสอบ และนั่นทำให้เกิด ‘ความหายากในโลกดิจิทัล’ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว โลกดิจิทัลเป็นสิ่งที่ทำซ้ำได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ทอมป์สันให้ความสำคัญกับ ‘สเตเบิลคอยน์’ หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ตรึงค่าไว้กับเงินตราจริง เขาชี้ว่านี่คือเทคโนโลยีที่ทำงานคล้ายอินเทอร์เน็ต — มัน ‘ไม่หายไป, ไม่หยุดนิ่ง และเคลื่อนไหวเร็ว’ และยืนอยู่จุดตัดระหว่าง ‘ความน่าเชื่อถือทางการเงิน’ และ ‘ลักษณะไร้พรมแดนของอินเทอร์เน็ต’ ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายในระบบการเงินปัจจุบัน
เหตุผลสำคัญว่าทำไมบริษัทฟินเทคจึงหันมาใช้บล็อกเชนก็เพราะสิ่งนี้ช่วยลดต้นทุนและลดความซับซ้อนของระบบเบื้องหลัง พวกเขาไม่จำเป็นต้องสร้างระบบบันทึกข้อมูลและดูแลความน่าเชื่อถือขึ้นมาใหม่ เพราะสามารถใช้บล็อกเชนเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ที่ใช้งานได้เลยทันที ปัจจุบัน แม้ราคาสินทรัพย์คริปโตจะลดลง แต่บริษัทการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง ‘สไตรป์’, ‘แบล็คร็อก’ และ ‘วีซ่า’ ก็ยังคงเดินหน้าเปลี่ยนระบบของตนไปสู่เทคโนโลยีบล็อกเชน เป็นเครื่องยืนยันว่า ‘ประโยชน์ใช้สอย’ นั้นแยกออกจากราคาตลาดได้อย่างชัดเจน
บทความหนึ่งเมื่อปี 2013 ได้ยกตัวอย่างที่ง่ายและทรงพลังที่สุดในการอธิบายบิตคอยน์(BTC) — โดยเปรียบเทียบกับ ‘แอปเปิลดิจิทัล’ เรื่องมีอยู่ว่า หากในสวนสาธารณะ ฉันยื่นแอปเปิลให้คุณหนึ่งลูก นั่นคือการโอนกรรมสิทธิ์ไปในทันทีโดยไม่ต้องการใครมารับรอง และบันทึกการโอนนี้ก็ถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ทั่วโลกทันที แนวคิดนี้สะท้อน ‘รูปแบบใหม่ของความน่าเชื่อถือ’ ซึ่งไม่ต้องผ่านบุคคลที่สาม เช่น ธนาคาร — และนี่แหละคือหัวใจของบล็อกเชน
สิ่งสำคัญที่สุดเวลาเรียนรู้คริปโตจึงไม่ใช่การพยายามพูดให้เหมือน ‘คนวงใน’ แต่คือการกล้าถามคำถามง่าย ๆ เช่น “แล้วมันดีตรงไหน?” “ทำไมต้องใช้?” แนวคิดแบบ ‘ผู้เริ่มต้น’ หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า ‘โชชิน(初心)’ — ที่แปลว่า “จิตใจของผู้เริ่มเรียนรู้” — คือก้าวแรกของการเข้าใจสิ่งซับซ้อนอย่างแท้จริง
สุดท้ายแล้ว คำตอบของคำถามว่า “คริปโตคืออะไร?” อาจพูดได้ว่า มันคือ ‘เทคโนโลยีที่สร้างความหายากและความไว้วางใจในโลกดิจิทัล’ และคือรูปแบบใหม่ของเงินที่ ‘ทำงานเหมือนอินเทอร์เน็ต’ ในวันที่เงินและระบบการเงินของโลกกำลังถูกออกแบบใหม่ในความเร็วระดับออนไลน์ สเตเบิลคอยน์และบล็อกเชนกำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ความคิดเห็น 0