แม้ว่าอุดมคติของบิตคอยน์(BTC) จะอยู่ที่การ ‘กระจายอำนาจ’ แต่ในความเป็นจริง การจัดการสินทรัพย์และการแปลงเป็นเงินสดยังคงจำเป็นต้องพึ่งพาระบบธนาคารแบบดั้งเดิม สำหรับนักลงทุนและบริษัทคริปโต ‘ธนาคารที่เป็นมิตรกับคริปโต’ จึงยังมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะเมื่ออุตสาหกรรมนี้เติบโตขึ้นเข้าสู่ปี 2026 ความสนใจในธนาคารลักษณะนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ซิลเวอร์เกตและซิกเนเจอร์แบงก์ปิดตัวลง วงการคริปโตต้องเผชิญกับอุปสรรคในการหาพันธมิตรด้านธนาคารที่ไว้ใจได้ บางธนาคารยังคงมีมุมมองลบต่อคริปโต โดยถึงกับสั่งปิดบัญชีเพียงเพราะผู้ใช้มีธุรกรรมกับแพลตฟอร์มคริปโต อย่างไรก็ตาม มีสถาบันการเงินบางแห่งที่เริ่มปรับท่าที โดยพิจารณาศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างระมัดระวัง
‘ธนาคารที่เป็นมิตรกับคริปโต’ คือสถาบันการเงินที่มีความเข้าใจและยอมรับการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น บิตคอยน์ หรือ อีเธอเรียม(ETH) โดยธนาคารเหล่านี้มักจะเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอย่างไบแนนซ์และคราเคน อีกทั้งบางแห่งยังมีบริการบัตรเครดิตที่ให้ *แคชแบ็กสูงสุด 8%* เมื่อชำระด้วยคริปโต หรือประกันความเสี่ยงในพอร์ตสินทรัพย์ดิจิทัล
ข้อดีของธนาคารเหล่านี้คือสามารถใช้งานได้สะดวกผ่านแอปมือถือ ช่วยให้นักลงทุนทั่วไปเริ่มต้นใช้งานคริปโตได้ง่ายขึ้น แถมยังมีฟังก์ชันแปลงเงินเดือนบางส่วนเป็นบิตคอยน์อัตโนมัติ หรือให้บริการบัตรเดบิตที่สามารถใช้ได้กับทั้งเงินเฟียตและคริปโต
แต่ปัญหาก็คือ *เสถียรภาพและค่าธรรมเนียม* ธนาคารที่ผูกพันกับตลาดคริปโตมากอาจเผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด เหมือนกรณีของธนาคารซิลเวอร์เกต ขณะที่ค่าธรรมเนียมของผู้ใช้งานทั่วไปมักจะสูงถึง 1.5-2% และยังไม่สามารถให้บริการชั้นสูงแบบในโลกการเงินไร้ศูนย์กลาง(DeFi) อย่างการฝากออม, กู้ยืม หรือฟาร์มเหรียญได้เต็มที่
ธนาคารคริปโตที่น่าจับตามองในปี 2026 ได้แก่:
1. **Revolut** – ใช้แอปง่าย รองรับเหรียญกว่า 50 สกุล พร้อมให้ *แคชแบ็กสูงสุด 1%* และบริการสเตกกิ้งอีเธอเรียม ค่าธรรมเนียม 1.99% โดยมีแผนเปิดตัวเหรียญ ‘Revcoin’
2. **Wirex** – แพลตฟอร์มซึ่งถือคริปโตเป็นศูนย์กลาง ให้บริการข้ามเชน, NFT, และ DeFi พร้อม *แคชแบ็กสูงสุด 8%* ผ่านบัตรเดบิต
3. **Juno** – ให้บริการบัญชีผสมคริปโต/เฟียต พร้อมระบบแปลงเงินเดือนเป็นคริปโต ใช้บัตรเดบิตได้ทั้งถอนเงินและใช้ ATM *แคชแบ็กสูงสุด 5%*
4. **BankProv** – ธนาคารอเมริกันอายุกว่า 200 ปี ที่เชี่ยวชาญสนับสนุนคริปโตสตาร์ทอัพ มีประกันสองชั้นผ่าน FDIC และ DIF รองรับการให้กู้โดยใช้คริปโตเป็นหลักประกัน
5. **Ally Bank** – แม้ไม่ได้ให้บริการซื้อขายคริปโตโดยตรง แต่สามารถลงทุนในกองทุนอย่าง Grayscale Bitcoin Trust และเชื่อมต่อกับ Coinbase ได้
6. **Quontic** – เด่นเรื่องบัญชีเดินสะพัดที่ให้ *รางวัลบิตคอยน์ 1.5%* จากการใช้จ่ายทุกครั้ง
7. **Mercury** – เน้นบริการสำหรับธุรกิจ Web3 โดยขยายวงเงินคุ้มครอง FDIC สูงถึง 5 ล้านดอลลาร์ มีพันธมิตรอย่าง Phantom, Rarible, Bitwise
8. **Monzo** – ธนาคารดิจิทัลจากอังกฤษเปิดบัญชีง่าย ทำธุรกรรมเร็ว แต่ปัจจุบัน ‘โอนเข้าบัญชี Binance ถูกจำกัดตามคำเตือนจาก FCA’
สาเหตุที่ธนาคารประเภทนี้กำลังเติบโต มีส่วนมาจากกระแสคาดหวังการอนุมัติกองทุน ETF บิตคอยน์ในสหรัฐ อีกทั้งระบบการเงินหลักก็เริ่มเปิดรับคริปโตมากขึ้น หากไม่ปรับตัว ธนาคารแบบเดิมอาจจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง อย่างไรก็ตาม *ประธานเจพีมอร์แกน* เจมี ไดมอน ยังคงย้ำจุดยืนว่า “หากเป็นรัฐบาล ผมจะสั่งห้ามบิตคอยน์ไปแล้ว” ซึ่งสะท้อนมุมมองบางฝั่งที่ยังต้านคริปโตอย่างชัดเจน
ในภาพรวม ธนาคารเป็นมิตรกับคริปโตมีบทบาทในการเร่งการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในสังคม แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทน DeFi ได้โดยสมบูรณ์ เพราะสิ่งสำคัญสูงสุดในโลกคริปโตคือ *การถือครองทรัพย์สินด้วยตนเอง* หรือ “*ไม่ใช่คีย์ของคุณ ก็ไม่ใช่เหรียญของคุณ*” นั่นเอง
*ความคิดเห็น:* สำหรับผู้เริ่มต้น ธนาคารคริปโตเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สะดวก แต่ผู้ใช้งานคริปโตระดับสูงควรพิจารณาศักยภาพของ DeFi ควบคู่กันเพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพและอิสระทางการเงินสูงสุด
ความคิดเห็น 0