เคียน โรดริเกซ(Keonne Rodriguez) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกระเป๋าเงินบิตคอยน์(BTC) ที่เน้นความเป็นส่วนตัวอย่าง “ซามูไร วอลเลต” ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับแรกจากเรือนจำ โดยกล่าวถึงช่วงเริ่มต้นชีวิตหลังถูกจำคุก เขาถูกตัดสินโทษจำคุก 5 ปีเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ฐานให้บริการเครื่องมือผสมเหรียญคริปโตที่ยากต่อการตรวจสอบธุรกรรม ซึ่งถูกมองว่าอาจเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน
ในจดหมายซึ่งเขียนเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม โรดริเกซเล่าว่าการเข้าสู่เรือนจำเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยเขาต้องผ่านการตรวจร่างกายและตรวจค้นร่างกาย พร้อมทั้งกล่าวอำลาครอบครัวในช่วงเวลาที่เขาบรรยายว่า ‘เป็นเรื่องสะเทือนอารมณ์’ เขายอมรับว่าสภาพแวดล้อมนั้น ‘แปลกแยกและสับสน’ แต่ก็สามารถปรับตัวได้ และย้ำว่าผู้ต้องขังรายอื่นให้ความเคารพเขา
ความสนใจในคดีนี้เพิ่มขึ้นเมื่อมีการเปิดเผยว่า ภรรยาของโรดริเกซมีกำหนดเยี่ยมเขาในวันคริสต์มาส ซึ่งจุดประกายให้เกิดกระแสสนับสนุนทางสังคมต่อสถานการณ์ของเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงผู้กระทำผิดตามกฎหมาย
โรดริเกซถูกตั้งข้อหาเนื่องจากฟีเจอร์ ‘ผสมเหรียญ’ ในซอฟต์แวร์ของซามูไร วอลเลต ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรมบนเครือข่ายบิตคอยน์ โดยวิธีผสมเหรียญจากผู้ใช้หลายคนเข้าด้วยกัน ทำให้ยากต่อการติดตามเส้นทางธุรกรรม แม้เทคโนโลยีนี้จะมีประโยชน์ต่อการปกป้องข้อมูลส่วนตัว แต่ฝ่ายอัยการมองว่ามันอาจกลายเป็นเครื่องมือสำหรับการฟอกเงิน
"ความคิดเห็น" ประเด็นคดีของโรดริเกซจึงกลายเป็นจุดตัดระหว่าง ‘โอเพ่นซอร์ส’ และ ‘ความรับผิดทางกฎหมายของนักพัฒนา’ โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่าคดีนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสหรัฐในการมอง ‘โค้ด’ ว่าเป็นเพียงเทคโนโลยีนวัตกรรมหรือเป็นเครื่องมือก่ออาชญากรรม ข้อถกเถียงนี้ยังเชื่อมโยงกับคดีของโรมัน สตอร์ม(Roman Storm) ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการโทนาโด แคช ซึ่งถูกดำเนินคดีในลักษณะเดียวกัน
จนถึงขณะนี้ มีผู้ร่วมลงชื่อในคำร้องสนับสนุนโรดริเกซมากกว่า 12,000 คน โดยผู้ลงชื่อจำนวนมากเป็นผู้สนับสนุนสิทธิในความเป็นส่วนตัว โดยพวกเขาโต้แย้งว่า ซอฟต์แวร์ที่โรดริเกซสร้างนั้นไม่มีเหยื่อที่แท้จริง และการดำเนินคดีในลักษณะนี้ถือเป็น ‘การใช้กฎหมายเพื่อกดดัน’ นักพัฒนาโอเพ่นซอร์ส
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังแสดงความสนใจต่อคดีของโรดริเกซ โดยเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม เขากล่าวว่า "จะพิจารณาคดีนี้อย่างถี่ถ้วน" สร้างความหวังให้กับผู้สนับสนุนว่าการอภัยโทษอาจเกิดขึ้นได้ โรดริเกซเองก็ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการร้องขอให้ทรัมป์อนุมัติการอภัยโทษ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามมองว่าคดีนี้ไม่ได้พิจารณาเพียง ‘โค้ด’ แต่พิจารณาเจตนาของผู้พัฒนาและการนำไปใช้งาน หากซอฟต์แวร์ถูกใช้เพื่ออำนวยประโยชน์ต่อพฤติกรรมผิดกฎหมาย การถือว่าเป็นเพียงผลงานโปรแกรมมิ่งย่อมไม่เพียงพอในการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
ในภาพรวม คดีนี้สะท้อนความไม่แน่นอนทางกฎหมายเกี่ยวกับ ‘ฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัว’ ในผลิตภัณฑ์คริปโต และตอกย้ำความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อโครงการที่พยายามพัฒนาเทคโนโลยีในลักษณะนี้ในสหรัฐ หลายบริการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่เน้นความเป็นส่วนตัวเริ่มปิดตัวในตลาดอเมริกา หรือถอนแอปออกจากแอปสโตร์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย
ในอนาคต คดีของโรดริเกซอาจถูกใช้เป็นกรณีตัวอย่างที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีความเป็นส่วนตัวในคริปโต โดยต้องจับตามองว่าศาลและผู้มีอำนาจจะเลือกตีความบทบาทของนักพัฒนาอย่างไร และจะมีขอบเขตระหว่างการสร้างสรรค์โค้ด กับความรับผิดชอบต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิดหรือไม่
ความคิดเห็น 0