รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับกระแสถกเถียงเกี่ยวกับแผน ‘การสำรองสกุลเงินดิจิทัล’ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดคริปโต โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่านโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์อาจเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดมากยิ่งขึ้น
ล่าสุด รัฐบาลภายใต้การนำของทรัมป์ได้เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรต่อแคนาดา, เม็กซิโก และจีน ทำให้ความไม่แน่นอนในตลาดการเงินเพิ่มขึ้น และมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบอาจลุกลามไปสู่ตลาดสกุลเงินดิจิทัลด้วย ขณะเดียวกัน ‘แผนสำรองสกุลเงินดิจิทัล’ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากยังไม่แน่ชัดว่าทรัพย์สินดิจิทัลอย่าง บิตคอยน์(BTC), อีเธอเรียม(ETH), โซลานา(SOL) และ ริปเปิล(XRP) จะถูกรวมอยู่ในแผนดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเคลื่อนไหวของตลาด
ในขณะนี้ บิตคอยน์(BTC) ได้ร่วงต่ำกว่าระดับ 91,000 ดอลลาร์ และเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 85,000 ดอลลาร์ บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน ‘นันเซน(Nansen)’ ระบุว่าแม้ว่าสถาบันการเงินยังคงเข้ามาลงทุนในตลาด แต่ก็มีแนวโน้มว่าราคาอาจเผชิญกับความผันผวนสูงในช่วงสั้น
ด้านตลาดอัลต์คอยน์ก็กำลังเผชิญกับแรงกดดัน โดยโครงการที่เกี่ยวข้องกับโซลูชันเลเยอร์ 2(L2) บนเครือข่ายอีเธอเรียม และโทเคนที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์(AI) ปรับตัวลดลงมากที่สุด โดยบางโทเคนในกลุ่ม AI ลดลงเกือบ 90% นับตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้น เช่น เมคเกอร์(MKR) ที่ดีดตัวขึ้น 10% และ ริปเปิล(XRP) ที่ปรับตัวขึ้น 5% ซึ่งยังสามารถรักษาเสถียรภาพได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับแนวโน้มตลาดข้างหน้า นักวิเคราะห์มีความเห็นที่แตกต่างกัน บางฝ่ายเชื่อว่าการปรับฐานในขณะนี้เป็นขั้นตอนที่จำเป็นก่อนจะเข้าสู่รอบขาขึ้นระยะยาว โดยเฉพาะบิตคอยน์ที่ยังถูกมองว่าเป็นทรัพย์สินสำหรับการลงทุนระยะยาว ในขณะที่นักลงทุนบางส่วนยังคงระมัดระวัง โดยมองว่าตลาดอาจเผชิญกับการปรับตัวลงเพิ่มเติม
ในระยะสั้น ตลาดยังอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง และนักลงทุนจับตาการประกาศนโยบายและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่รอบคอบและคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อไป
ความคิดเห็น 0