แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ‘คอยน์เบส(COIN)’ ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการ *ลิควิไฟ* (Liquifi) แพลตฟอร์มสำหรับบริหารจัดการโทเคนอย่างเป็นทางการเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยเป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งที่สี่ของปีนี้ ซึ่งรวมถึงดีลก่อนหน้านี้กับ *เดริบิท* (Deribit) แพลตฟอร์มอนุพันธ์ที่มีมูลค่าดีลถึง 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.03 แสนล้านวอน (ประมาณ 1 แสนล้านบาท) สะท้อนถึงความพยายามในการเร่งขยายธุรกิจในระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
เกร็ก ทูซาร์(Greg Tusar) หัวหน้าฝ่ายธุรกิจลูกค้าสถาบันของคอยน์เบสระบุว่า การเข้าซื้อลิควิไฟในครั้งนี้จะช่วย “ลดอุปสรรคสำคัญในการออกโทเคน” ด้วยฟังก์ชันที่เน้นระบบอัตโนมัติ ทั้งในด้านการจัดการสัดส่วนผู้ถือครองโทเคน ตารางเวลาการจัดสรร ไปจนถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ พร้อมเสริมว่าคอยน์เบสจะสามารถสร้าง “ความร่วมมือกับนักพัฒนาได้เร็วขึ้นตั้งแต่ระยะเริ่มต้น”
ลิควิไฟถือเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขและลดความซับซ้อนในการเปิดตัวโครงงานโทเคนในระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะความท้าทายด้านกฎหมาย ภาษี และการกระจายอำนาจด้านกฎระเบียบ *ความคิดเห็น* ทูซาร์ระบุว่า เทคโนโลยีของลิควิไฟจะช่วยให้การออกโทเคน “ง่าย รวดเร็ว และขยายได้ทั่วโลก” ไม่แพ้การระดมทุนแบบขายหุ้นของสตาร์ทอัพทั่วไป
การเข้าซื้อในครั้งนี้ยังนำไปสู่การผสานฟีเจอร์หลักของลิควิไฟเข้ากับ *คอยน์เบส ไพรม์* (Coinbase Prime) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับลูกค้าสถาบันของคอยน์เบส ทูซาร์กล่าวว่า “เราจะรวมฟีเจอร์ของลิควิไฟเข้าไว้ในแพลตฟอร์มไพรม์อย่างแนบเนียน เพื่อให้ผู้ออกโทเคนสามารถใช้งานเครื่องมือสำคัญได้จากแพลตฟอร์มเดียว” และยังย้ำว่า “การรวมบริการอย่างการดูแลสินทรัพย์ การซื้อขาย และการเงินเข้าด้วยกัน ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับบริการแบบครบวงจร”
นับตั้งแต่ต้นปีนี้ คอยน์เบสยังได้เข้าซื้อกิจการ *สปินเดิล* (Spindl) แพลตฟอร์มโฆษณาและวิเคราะห์แบบออนเชน และทีมผู้พัฒนา *ไอออนฟิช* (Iron Fish) โครงการเน้นเทคโนโลยีด้านความเป็นส่วนตัว ซึ่งการเดินหน้าเข้าซื้อกิจการต่อเนื่องเหล่านี้ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของอีโคซิสเต็มคริปโตให้เติบโตในแนวดิ่ง เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของการเป็นเพียงแค่ ‘ศูนย์กลางซื้อขาย’ เท่านั้น
ความคิดเห็น 0