ซาโตชิ นากาโมโตะ อาจแซงทรัมป์ขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับหนึ่ง หากบิตคอยน์(BTC) ทะลุ 370,000 ดอลลาร์

ซาโตชิ นากาโมโตะ(Satoshi Nakamoto) ผู้ก่อตั้ง *บิตคอยน์(BTC)* ซึ่งยังไม่เปิดเผยตัวตน มีโอกาสก้าวขึ้นเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก หากราคาบิตคอยน์ยังคงพุ่งทะยานต่อไป โดยล่าสุดเมื่อบิตคอยน์ทะลุระดับ 123,000 ดอลลาร์ หรือราว 4.57 ล้านบาท จำนวนเหรียญราว 1.096 ล้าน BTC ที่เขาถือครองอยู่มีมูลค่าประมาณ 185,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 25.6 ล้านล้านบาท

ตามข้อมูลจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์คริปโตชื่อว่า Arkham Intelligence ซาโตชิไม่เคยเคลื่อนไหวหรือขายคริปโตเหล่านี้แม้แต่ครั้งเดียว เหรียญดังกล่าวถูกขุดขึ้นตั้งแต่ปีแรกที่บิตคอยน์เปิดตัว และยังคงอยู่ในกระเป๋าเงินเดิมของเขาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยเสริม ‘ความหายาก’ และภาพลักษณ์สัญลักษณ์สำคัญให้กับบิตคอยน์

ปัจจุบันข้อมูลจากจัดอันดับมหาเศรษฐีของ Forbes ระบุว่า ซาโตชิอยู่ในอันดับ 11 ของโลก รองจาก เซอร์เกย์ บริน ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิล ที่มีทรัพย์สินราว 142,300 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 19.7 ล้านล้านบาท หากราคาบิตคอยน์แตะระดับ 132,000-134,000 ดอลลาร์ (ราว 4.9-5.07 ล้านบาท) ทรัพย์สินรวมของซาโตชิจะมีมูลค่าสูงกว่าเซอร์เกย์ บรินทันที

หากต้องการแซงหน้า *ประธานาธิบดีทรัมป์* ซึ่งปัจจุบันครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินราว 404,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 56 ล้านล้านบาท ราคาบิตคอยน์จะต้องทะลุ 370,000 ดอลลาร์ หรือราว 13.8 ล้านบาท โดยตัวเลขนี้อ้างอิงจากสมมติฐานที่ว่าทรัพย์สินของทรัมป์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม ความเป็นปริศนาของตัวตนและที่อยู่ของซาโตชิยังคงเป็นคำถามใหญ่ของวงการคริปโต หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าเขาอาจเสียชีวิตแล้ว ปลีกวิเวกโดยสมัครใจ หรือจงใจหายตัวไปตามแผนการณ์ การที่เขาไม่เคยขยับบิตคอยน์เลยแม้แต่น้อย นับเป็นความ *น่าเชื่อถือ* อย่างยิ่งต่อแนวคิด ‘สินทรัพย์จำกัดและไม่มีศูนย์กลาง’ ของบิตคอยน์

ในบรรดานักลงทุนรายบุคคลรายใหญ่รายอื่น ปรากฏว่า แฝดวิงเคิลวอสถือครองราว 70,000 BTC, ทิม เดรเปอร์ราว 30,000 BTC และไมเคิล เซย์เลอร์ราว 17,700 BTC ขณะที่บิตคอยน์ประมาณ 1.44 ล้าน BTC ถูกเก็บไว้โดยกองทุน ETF ในสหรัฐฯ แต่ถือครองโดยหลากหลายบริษัทและผู้ลงทุน แตกต่างจากการถือครองแบบเดี่ยวของซาโตชิ

*ความคิดเห็น*: หากบิตคอยน์ยังคงไต่ระดับตามความเชื่อมั่นของตลาด การที่ซาโตชิจะกลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป เพียงแต่ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาจะ ‘ใช้’ ความมั่งคั่งนี้หรือไม่เมื่อถึงเวลานั้น