ไบแนนซ์เปิดตัวโมเดลสร้างโทเคนใหม่ รับกระแสมีมคอยน์ด้วยระบบบอนดิ้งเคิร์ฟ

ไบแนนซ์ปรับกลยุทธ์ รับมือกระแสมีมคอยน์ ด้วยโมเดลสร้างโทเคนใหม่แบบ ‘Bonding Curve’

ไบแนนซ์เดินหน้ารับมือกระแสตลาดมีมคอยน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการเปิดตัวโมเดลการเปิดตัวโทเคนใหม่ (Token Generation Event - TGE) ผ่าน ‘ไบแนนซ์วอลเล็ต’ ที่ใช้โครงสร้าง ‘บอนดิ้งเคิร์ฟ’ ซึ่งราคาโทเคนจะเปลี่ยนแปลงตามความต้องการแบบเรียลไทม์ โดยร่วมมือกับแพลตฟอร์มมีมคอยน์ Four.Meme และได้แรงบันดาลใจจากระบบของ Pump.fun

ในโมเดลนี้ ผู้ใช้งานสามารถใช้บีเอ็นบี(BNB) เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อซื้อ ‘โทเคนแบบโอนไม่ได้’ ระหว่างช่วงเวลาของกิจกรรม โดยราคาจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนการซื้อ ขณะที่การซื้อขายจะสามารถเริ่มได้หลังจากกิจกรรมสิ้นสุด ไบแนนซ์ระบุว่าโมเดลนี้จะช่วยให้ตลาดสามารถกำหนด ‘มูลค่าโทเคนล่วงหน้าอย่างโปร่งใส’ ก่อนมีการลิสต์เข้าสู่ตลาดจริง

ผู้ต้องการเข้าร่วมจะต้องมีทั้งบีเอ็นบี(BNB) และ ‘อัลฟาพอยต์’ ภายในไบแนนซ์วอลเล็ต โดยอัลฟาพอยต์เป็นคะแนนสะสมที่ได้จากการมีส่วนร่วมในระบบ ซึ่งจะนำมาใช้ในการประเมินคุณสมบัติของผู้ใช้งาน ทั้งนี้ เมื่อทำคำสั่งซื้อแล้ว จะไม่สามารถยกเลิกได้จนกว่ากิจกรรมจะสิ้นสุด และบีเอ็นบีที่ใช้จะถูกล็อกไว้ตลอดระยะเวลาดังกล่าว

ไบแนนซ์เน้นว่าโมเดลนี้ออกแบบมาเพื่อ ‘ให้โอกาสที่เป็นธรรมแก่ผู้ใช้งานที่มีการใช้งานจริง’ และป้องกันกิจกรรมจากการซื้อขายอัตโนมัติซึ่งมักสร้าง ‘ความต้องการปลอม’ โดยโครงการแรกจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ ผ่านบัญชี X ของ Binance Wallet

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลาง ‘การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในตลาดแพลตฟอร์มเปิดตัวโทเคนมีม’ โดยเฉพาะในฝั่งของโซลานา(SOL) ซึ่ง LetsBONK มีการเติบโตแซงหน้า Pump.fun แล้วทั้งในแง่ ‘ปริมาณโทเคนใหม่’ และ ‘ปริมาณการซื้อขาย’ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานบางรายยังคงประสบปัญหา เช่น กรณีที่บริษัทวิจัย Lookonchain รายงานว่าผู้ใช้รายหนึ่งทำโทเคนมูลค่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,043,800 บาท) หายจากความผิดพลาดบน Pump.fun

ด้วยข้อดีของโมเดลราคาที่ขับเคลื่อนด้วย ‘ความต้องการตามธรรมชาติของตลาด’ บอนดิ้งเคิร์ฟจึงถูกมองว่าเป็นแนวทางที่อาจกำหนด ‘มาตรฐานใหม่สำหรับกระบวนการสร้างโทเคนในอนาคต’ โดยไบแนนซ์ถือเป็นผู้ให้บริการหลักรายแรกที่นำรูปแบบนี้เข้าสู่ระบบจริงอย่างเต็มรูปแบบ