ฮ่องกงเริ่มบังคับกฎเข้มสเตเบิลคอยน์ 1 ส.ค.นี้ เลื่อนใบอนุญาตจริงถึงต้นปี 2026

ทางการเงินฮ่องกงเตรียมบังคับใช้นโยบายกำกับดูแลผู้ให้บริการสเตเบิลคอยน์อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ขณะที่การออกใบอนุญาตซึ่งเป็นที่สนใจจากกลุ่มอุตสาหกรรม ถูกเลื่อนออกไปเป็นต้นปี 2026 ท่ามกลางคำเตือนจากทางการเกี่ยวกับ ‘ความคาดหวังที่เกินจริง’ และความเสี่ยงจากการหลอกลวง พร้อมย้ำถึง ‘การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างค่อยเป็นค่อยไป’ ในอุตสาหกรรมคริปโต

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม สำนักงานการเงินฮ่องกง(HKMA) ได้เผยแพร่แนวทางกำกับดูแลสเตเบิลคอยน์ฉบับสมบูรณ์ พร้อมแถลงว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ใบอนุญาตชุดแรกจะออกให้ได้จริงใน ‘ต้นปี 2026’ แทนที่จะเป็นปีนี้ โดยทางการกำชับให้บริษัทที่ประสงค์จะขอใบอนุญาต ยื่นเอกสารภายในวันที่ 30 กันยายน

เนื้อหากฎระเบียบที่เปิดเผยรอบนี้ มีขอบเขตรวมถึงการจัดการเงินสำรอง การออกและไถ่ถอนเหรียญ มาตรฐานความเสี่ยง และข้อกำหนดในการดำเนินธุรกิจ จุดเด่นสำคัญคือ การเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรฐานต่อต้านการฟอกเงิน(AML) และป้องกันการสนับสนุนการก่อการร้าย(CTF) อย่างเคร่งครัด อีกทั้ง HKMA ยังมีแผนจัดทำ ‘ทะเบียนสาธารณะ’ บนเว็บไซต์ รายชื่อบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ออกเหรียญอย่างเป็นทางการ

HKMA ยังให้ความเห็นว่า “โครงสร้างกำกับดูแลของฮ่องกงถือว่าแข็งแกร่งอยู่แล้ว เราจึงไม่ได้คาดหวังว่าการใช้งานสเตเบิลคอยน์จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะแรก” พร้อมระบุวิสัยทัศน์ในการสร้างระบบนิเวศที่น่าเชื่อถือ ผ่าน ‘การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างค่อยเป็นค่อยไป’

ทั้งนี้ ทางการยังเร่งเตือนถึงการแอบอ้างและเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสถานะใบอนุญาต โดยระบุว่า ‘ยังไม่มีบริษัทใดได้รับอนุญาตในขณะนี้’ และการกล่าวอ้างว่า ‘อยู่ระหว่างการพิจารณา’ จะต้องเป็นความรับผิดชอบของผู้แสดงเจตนาแต่เพียงผู้เดียว HKMA ยังแสดงความกังวลต่อพฤติกรรมบางบริษัทที่ใช้ข้ออ้างเหล่านี้มาสร้างความเข้าใจผิดให้กับนักลงทุน

นอกจากนี้ ทางการยังแสดงมุมมองเกี่ยวกับ ‘ความคาดหวังเกินจริง’ ในตลาดสเตเบิลคอยน์ เอ็ดดี เว เชง ผู้ว่าการ HKMA ระบุว่า “ปริมาณการซื้อขายที่พุ่งสูง และการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นบางตัวในกลุ่มคริปโต สะท้อนบรรยากาศที่เกินความเป็นจริง” พร้อมเน้นว่า ‘ควรมีท่าทีที่รอบคอบ’

นโยบายล่าสุดนี้ตอกย้ำบทบาทของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินโลก ที่ต้องการเดินหน้าสู่บทบาทผู้นำด้านการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ทางการยังเลือกยึดหลัก ‘ความมั่นคงมาก่อน’ เพื่อปูพื้นฐานระบบกำกับดูแลอย่างยั่งยืน ถือเป็นกลยุทธ์ในการสร้าง ‘รากฐานความเชื่อมั่นระยะยาว’ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมดิจิทัลทั่วโลก