มาเลเซียผงาด! เตรียมขึ้นแท่นศูนย์กลางเว็บ3 และการเงินอิสลามโลก

อุตสาหกรรมคริปโตของมาเลเซียกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในระดับโลก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายจากรัฐบาลและการเติบโตของชุมชนนักพัฒนาในประเทศ ตามรายงานฉบับล่าสุดของไทเกอร์รีเสิร์ช (Tiger Research) มาเลเซียมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเว็บ3 ของโลก โดยอาศัยจุดแข็งในการรวมระบบการเงินอิสลามกับกลยุทธ์สินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งอาจช่วยขยายอิทธิพลเข้าสู่ตลาดตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศมุสลิม

รัฐบาลมาเลเซียได้ดำเนินนโยบายสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เช่น การก่อตั้ง ‘ศูนย์นวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล’, การวางระบบโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน, การนำแซนด์บ็อกซ์สำหรับกฎระเบียบทดลองมาใช้ และการผ่อนคลายนโยบายกำกับดูแล ทั้งหมดเป็นการส่งสัญญาณถึงความตั้งใจรองรับระบบนิเวศคริปโตอย่างชัดเจน และเสริมศักยภาพในการแข่งขันกับสิงคโปร์และฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางทางการเงินดิจิทัลในเอเชีย นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ยังเคยพบกับผู้ก่อตั้งไบแนนซ์(Binance) เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านนี้

บทวิเคราะห์ระบุด้วยว่ามาเลเซียมีโครงสร้างทางวัฒนธรรมและภาษาที่หลากหลาย จึงมีบทบาทเป็นจุดศูนย์กลางของการเชื่อมโยงในอาเซียน โครงการระดับโลกอย่างคอยน์เกโก(Coingecko), อีเธอร์สแกน(Etherscan) และเวอร์ชวลส์ โปรโตคอล(Virtuals Protocol) ต่างถือกำเนิดจากที่นี่ ซึ่งส่งผลให้นักพัฒนาในประเทศสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายเทคโนโลยีระหว่างประเทศได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งแวดล้อมด้านกฎระเบียบและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยียังคงต้องปรับปรุง นักลงทุนชาวมาเลเซียยังเลือกใช้แพลตฟอร์มต่างประเทศ เช่น ไบแนนซ์(Binance) และบายบิต(Bybit) เนื่องจากแพลตฟอร์มในประเทศยังมีข้อจำกัด ทั้งด้านสภาพคล่องและจำนวนสินทรัพย์ที่จดทะเบียน

สำหรับสเตเบิลคอยน์ เช่น ยูเอสดีที(USDT) และยูเอสดีซี(USDC) ยังคงไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายในตลาดที่ได้รับการรับรองในมาเลเซีย โดยเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายควบคุมเงินทุนที่เข้มงวดมาตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 1998 อย่างไรก็ดี โครงการ ‘MYRC’ ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ที่ผูกกับริงกิตของแพลตฟอร์มบล็อกส์(Blox) กำลังพยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลง โดยดำเนินการทดลองภายใต้แซนด์บ็อกซ์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลาง

จุดที่น่าสนใจอีกด้านคือการผสานสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ากับการเงินอิสลาม มาเลเซียถือเป็นประเทศแรกที่มีการรับรองสินทรัพย์คริปโต ตามหลักชารีอะห์อย่างเป็นทางการ แพลตฟอร์มอย่างลูโน(Luno) และฮาตา(Hata) ต้องผ่านการรับรองชารีอะห์ทั้งหมด ในขณะที่ผู้จัดการสินทรัพย์อย่างฮาโลเจน แคปิทอล(Halogen Capital) และนาวา ไฟแนนซ์(Nawa Finance) ก็ได้เปิดตัวกองทุนบิตคอยน์(BTC) และผลิตภัณฑ์ดีไฟตามหลักชารีอะห์ไปแล้ว นอกจากนี้ โครงการชาร์ไลฟ์(Sharlife) ยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐบาลเพื่อทดสอบการนำคริปโตมาใช้ในการบริจาคตามหลักศาสนา

ด้าน NFT และเมนเน็ตบล็อกเชนของมาเลเซีย ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ชุมชน NFT โดยทั่วไปยังมีขนาดเล็ก และโครงการระดับโลกที่เข้ามาดำเนินกิจกรรมมีน้อย อย่างไรก็ตาม กลุ่ม ‘พัดจี้เพนกวิน(Pudgy Penguins)’ ถือเป็นข้อยกเว้น ด้วยระบบการต้อนรับสมาชิกใหม่และกิจกรรมออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง ในส่วนของบล็อกเชนเมนเน็ต โครงการที่นำโดยเซทริกซ์(Zetrix) และมิโมส(MIMOS) ภายใต้ชื่อ ‘โครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนมาเลเซีย(MBI)’ เป็นการทดลองที่มีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนแนวทางการพัฒนาโดยเน้นการควบคุมจากภายในประเทศมากกว่าการพึ่งพาเชนสาธารณะ

อุตสาหกรรมเหมืองบิตคอยน์(BTC) ของมาเลเซียก็กำลังขยายตัว โดยเฉพาะในรัฐซาราวัก(Sarawak) และซาบะห์(Sabah) ที่มีแหล่งพลังงานน้ำขนาดใหญ่ การขุดที่ใช้พลังงานสะอาดแบบนี้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้ อย่างไรก็ดี ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้าอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งต้องมีการปรับปรุงด้านกฎหมายและระบบตรวจสอบให้ทันสมัยมากขึ้น

กล่าวโดยสรุป มาเลเซียกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ในวงการสินทรัพย์ดิจิทัล โดยการประสานระหว่าง ‘กฎระเบียบ’, ‘เทคโนโลยี’, ‘ระบบการเงิน’ และ ‘วัฒนธรรม’ สามารถช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดคริปโตอย่างยั่งยืน รายงานของไทเกอร์รีเสิร์ชชี้ว่า ด้วยความสามารถในการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเว็บ3 กับโลกการเงินอิสลาม มาเลเซียมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นฮับระดับโลก และอาจนำเสนอโมเดลสินทรัพย์ดิจิทัลของตนไปยังตลาดต่างประเทศในอนาคต