อีเธอเรียม(ETH) ครบรอบ 10 ปี นักลงทุนสถาบันถือครองพุ่ง หนุนราคาอาจแตะ 4,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี

อีเธอเรียม(ETH) ครบรอบ 10 ปี ท่ามกลางความสนใจที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากนักลงทุนสถาบัน ส่งผลให้เกิด ‘อีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญ’ในวงการคริปโต โดยข้อมูลล่าสุดเผยว่าบริษัทระดับโลกถือครองคริปโตทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 139 ล้านล้านวอน) และในกลุ่ม 10 บริษัทชั้นนำ การสะสมอีเธอเรียมกำลังเป็นไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อวันที่ 6 สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ธนาคารเพื่อการลงทุนสัญชาติอังกฤษ รายงานว่า ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน บริษัทชั้นนำในตลาดสามารถถือครองอีเธอเรียมมากกว่า 1% ของปริมาณอุปทานทั้งหมด และยังคาดการณ์ว่า *“ในอนาคต บริษัทต่างๆ อาจถือครองได้มากถึง 10% ของอุปทานโดยรวม”* ซึ่งอาจส่งผลให้ราคา ETH พุ่งทะลุเป้าหมายเดิมที่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 55.6 ล้านบาท) ภายในสิ้นปีนี้

เอมมานูเอล การ์โดโซ(Enmanuel Cardozo) นักวิเคราะห์ตลาดจากแพลตฟอร์มบริคเคน(Brickken) ให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk ว่า *“บริษัทต่าง ๆ กำลังเข้าสู่อีเธอเรียมในจังหวะที่เร็วและรุนแรง”* พร้อมชี้ว่าอัตราการยอมรับ ETH นั้นแซงหน้า ‘จังหวะการยอมรับของบิตคอยน์(BTC)’ ในช่วงแรก และหนึ่งในปัจจัยหลักที่ผลักดันแนวโน้มนี้คือ *“ผลตอบแทนจากการสเตกกิงที่ต่อเนื่องและยั่งยืน”*

โอกาสครบรอบ 10 ปีในครั้งนี้ยังเป็นการย้อนกลับไปมองถึงประวัติความเป็นมาของอีเธอเรียม ซึ่งเริ่มต้นจากการเปิดตัวเอกสารไวต์เปเปอร์ของ วีทาลิก บูเทอริน(Vitalik Buterin) ในปี 2013 ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2015 จนปัจจุบันกลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดเป็นอันดับสอง โดยมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกล็อกไว้ในระบบ (TVL) แตะระดับ 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 118.15 ล้านล้านวอน) และกลายเป็น ‘หัวใจของระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi)’ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ในระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา อีเธอเรียมผ่านเหตุการณ์ใหญ่ ๆ มาแล้วมากมาย ตั้งแต่กระแส ICO, ช่วงเวลาที่ DeFi บูม ไปจนถึงขาขึ้นและขาลงของ NFT โดยมีโครงการกระจายศูนย์จำนวนมากถูกพัฒนาขึ้นบนอีเธอเรียมผ่านสมาร์ตคอนแทรกต์และระบบโอเพ่นซอร์ซ จนมีผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่าแพลตฟอร์มนี้มีบทบาทเทียบได้กับ ‘รัฐแห่งคริปโต’

ครบรอบ 10 ปีของอีเธอเรียมจึงไม่ใช่แค่หมุดหมายของอดีต แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญซึ่งสะท้อนว่า *“บริษัทและนักลงทุนสถาบันได้ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้เล่นหลักบนเวทีคริปโต”* และสิ่งที่ต้องจับตาต่อไป คืออิทธิพลของกลุ่มบริษัทเหล่านี้ต่อโครงสร้างการกำกับดูแล (governance) และระบบสเตกกิงของ ETH ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า