กูเกิลเพลย์บังคับแอปกระเป๋าคริปโตแบบ Custodial ต้องมีใบอนุญาต เริ่ม 29 ต.ค. นี้

กูเกิลเพลย์ประกาศนโยบายใหม่สำหรับนักพัฒนาแอปกระเป๋าคริปโต โดยตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคมเป็นต้นไป ผู้ให้บริการ *กระเป๋าแบบมีการเก็บสินทรัพย์ไว้เอง (custodial wallet)* ในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และอีกกว่า 15 ประเทศ จะต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคนั้น ๆ และปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรมอย่างเคร่งครัด โดยนโยบายดังกล่าว *ไม่ครอบคลุมกระเป๋าแบบไม่เก็บสินทรัพย์ (non-custodial wallet)*

ตามเอกสารอย่างเป็นทางการ นักพัฒนาในสหรัฐจะต้องขึ้นทะเบียนในฐานะ *ผู้ให้บริการด้านการเงิน (MSB)* หรือ *ผู้ให้บริการโอนเงิน* กับหน่วยงานกำกับ ในขณะที่ผู้พัฒนาในสหภาพยุโรปจะต้องมีสถานะเป็น *ผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล (CASP)* หากต้องการให้แอปของตนทำงานต่อไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะกรณีของสหรัฐ หากองค์กรจดทะเบียนกับเครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมทางการเงิน (FinCEN) แล้ว จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในการจัดทำโปรแกรม *ต่อต้านการฟอกเงิน (AML)* รวมถึงคาดว่าจะต้องมีกระบวนการ *ยืนยันตัวตนผู้ใช้ (KYC)* อย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น

กูเกิลได้ออกมายืนยันว่านโยบายใหม่นี้ไม่ครอบคลุมถึงกระเป๋าคริปโตแบบไม่เก็บสินทรัพย์ ผ่านแพลตฟอร์ม *X (ชื่อเดิมคือทวิตเตอร์)* พร้อมระบุว่าจะอัปเดตข้อมูลนี้ในศูนย์ช่วยเหลือเพื่อให้แน่ใจว่านักพัฒนาได้รับข้อมูลที่ชัดเจน

ขณะเดียวกัน ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดรายงานการปรับเพิ่มเป้าราคา *อีเธอเรียม(ETH)* สำหรับปี 2025 จากเดิม 4,000 ดอลลาร์ เป็น 7,500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,041,700 บาท โดยให้เหตุผลหลักว่าเกิดจาก *ความต้องการของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น, การใช้งานสเตเบิลคอยน์ที่ขยายตัวเร็ว,* รวมถึงความนิยมที่มากขึ้นของ *ETF และการลงทุนในคริปโตเพื่อการเงิน* ภายในสหรัฐ

จากรายงานของธนาคาร หลังเดือนมิถุนายนปีนี้ กองทุน ETF และกระเป๋าเงินเพื่อเก็บอีเธอเรียมในเชิงกลยุทธ์ถือครองมากถึง 3.8% ของปริมาณเหรียญที่หมุนเวียนในระบบ ซึ่งถือว่าสูงกว่าการสะสม *บิตคอยน์(BTC)* ในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2024 ถึงเกือบสองเท่า ความคิดเห็นหนึ่งระบุว่า “ตั้งแต่การคาดการณ์ครั้งล่าสุดในเดือนมีนาคม การมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง” พร้อมอ้างถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดของมูลนิธิอีเธอเรียมและโครงการ *Etherialize*

ด้าน วีทาลิก บิวเทอริน ผู้ร่วมก่อตั้งอีเธอเรียม ได้กล่าวถึงแผนเพิ่ม *ความสามารถในการประมวลผลของเลเยอร์ 1 สูงสุด 10 เท่า* และเตรียมพัฒนาโครงสร้างที่สามารถแยกธุรกรรมขนาดใหญ่ให้ทำงานบนเชนหลัก ขณะที่ธุรกรรมขนาดเล็กจะถูกกระจายไปยังเครือข่าย *เลเยอร์ 2* อย่าง *อาร์บิทรัม(ARB)* และ *เบส(Base)*

เมื่อรวมปัจจัยด้านความต้องการจากสถาบัน, การอัปเกรดเครือข่าย, และสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เอื้ออำนวย ส่งผลให้ *แนวโน้มระยะยาวของอีเธอเรียม(ETH)* ดูมีความหวังยิ่งขึ้นในสายตานักลงทุน