ข่าว 
ข้อมูลเหรียญ 
แนะนำสื่อ 
บริษัทร่วมทุนที่นำโดยนักการเมืองชื่อดังอย่าง วิเวก รามาสวามี (Vivek Ramaswamy) กำลังเขย่าวงการคริปโต โดยเมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) บริษัทระดับสตาร์ทอัปด้านการลงทุนอย่าง สไตรฟ(Strive Inc.) ประกาศว่าได้ทำข้อตกลงควบรวมกิจการกับ เซมเลอร์ ซายเอนทิฟิก(Semler Scientific) และก้าวขึ้นมาติดอันดับที่ 12 ของ *บริษัทจดทะเบียนที่ถือครองบิตคอยน์(BTC) มากที่สุดในโลก*
การควบรวมครั้งนี้ดำเนินการในรูปแบบ *แลกหุ้นทั้งหมด* โดยผู้ถือหุ้นเดิมของเซมเลอร์จะได้รับหุ้นสไตรฟประเภทคลาส A ในอัตรา 21.05 หุ้นสไตรฟต่อหุ้นเซมเลอร์ 1 หุ้น ซึ่งคิดเป็นพรีเมียมประมาณ 210% จากราคาปิดของเซมเลอร์ก่อนหน้าการประกาศดีลนี้
สไตรฟยังเผยว่า ได้ซื้อบิตคอยน์เพิ่มอีกกว่า 5,816 BTC คิดเป็นมูลค่าราว 675 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9,380 ล้านบาท หากรวมกับที่ถืออยู่เดิมอีก 70 BTC ทำให้บริษัทถือครองรวม 5,886 BTC การซื้อดังกล่าวถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง *กลยุทธ์ทางธุรกิจ* โดยยึดบิตคอยน์เป็น *สินทรัพย์หลัก* แทนการลงทุนรูปแบบเดิมในฐานะบริษัทจัดการสินทรัพย์
ข้อมูลเพิ่มเติมยังระบุว่า เซมเลอร์เองก็มีบิตคอยน์ในครอบครองมากกว่า 5,000 BTC ซึ่งหลังจากควบรวมกันแล้ว บริษัทใหม่จะถือบิตคอยน์รวมกว่า 10,900 BTC มากกว่าบริษัทอย่าง ฮัต8 ไมน์นิ่ง(Hut 8 Mining), บล็อก(Block Inc.), และกาแล็กซี ดิจิทัล(Galaxy Digital) ทำให้พุ่งขึ้นมาอยู่อันดับที่ 12 ของโลกในแง่จำนวนบิตคอยน์ที่บริษัทจดทะเบียนถือครอง
*ความคิดเห็น* จากนักวิเคราะห์มองว่า การเคลื่อนไหวของสไตรฟในครั้งนี้คล้ายคลึงกับกลยุทธ์ของ ไมเคิล เซย์เลอร์ ผู้นำของ ไมโครสแตรทิจี(MicroStrategy) ที่ใช้บิตคอยน์เป็นแกนหลักในการจัดพอร์ตสินทรัพย์ สำหรับสไตรฟเองก็เคยตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ต้นปีว่า จะพลิกโฉมองค์กรมุ่งสู่โมเดลบิตคอยน์เป็นศูนย์กลางอย่างจริงจัง
การควบรวมครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นดีลธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแนวคิดในการใช้คริปโตเป็นทรัพย์สินหลักในงบดุลองค์กร ซึ่งกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในตลาด โดยเฉพาะเมื่อผู้อยู่เบื้องหลังอย่างรามาสวามี ถือเป็นผู้ใกล้ชิดกับ *ประธานาธิบดีทรัมป์* จึงทำให้แวดวงคริปโตกำลังจับตาความเป็นไปของบริษัทนี้อย่างใกล้ชิด
ความคิดเห็น 0