เอเรบอร์(Erebor) ได้รับใบอนุญาตธนาคารเบื้องต้น เดินหน้าผนวกคริปโตสู่ระบบการเงินสหรัฐ

บริษัทฟินเทค *เอเรบอร์(Erebor)* ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีนักลงทุน *ปีเตอร์ ธีล(Peter Thiel)* กำลังเดินหน้าขยายธุรกิจเข้าสู่อุตสาหกรรมธนาคารในสหรัฐอย่างจริงจัง โดยเมื่อวันที่ 3 (เวลาท้องถิ่น) *Financial Times* รายงานว่า เอเรบอร์สามารถผ่านขั้นตอนแรกของการขออนุญาตอย่างเป็นทางการ โดยได้รับการอนุมัติ *ใบอนุญาตธนาคารเบื้องต้น (preliminary banking charter)* จากสำนักงานตรวจสอบสกุลเงินแห่งสหรัฐ (OCC) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของแผนการเข้าสู่ระบบธนาคารกลาง

แม้จะยังไม่สามารถเริ่มให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้ในทันที แต่การได้รับใบอนุญาตเบื้องต้นนี้แสดงถึงแนวโน้มที่ดี โดยหลังจากนี้ บริษัทจะต้องใช้เวลาหลายเดือนในการเสริมสร้างระบบรักษาความปลอดภัยภายใน และปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนด ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขที่สำคัญก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจธนาคารอย่างเป็นทางการ

โจนาธาน วี. กูลด์(Jonathan V. Gould) ผู้อำนวยการ OCC ให้ความเห็นว่า “*หากกิจกรรมด้านสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถดำเนินการได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสม ก็สามารถถูกรวมเข้าไว้ในระบบธนาคารกลางของสหรัฐได้*” ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่า OCC เปิดรับแนวคิดการบูรณาการสินทรัพย์ดิจิทัล และบริษัทฟินเทคเข้ากับระบบการเงินแบบดั้งเดิม

เอเรบอร์ตั้งเป้าว่าจะเริ่มให้บริการทางการเงินเต็มรูปแบบได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยเน้นการให้บริการบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลและโซลูชันทางการเงินเฉพาะกลุ่มแก่สตาร์ตอัปและบริษัทเทคโนโลยีในซิลิคอนแวลลีย์ นอกจากนี้ เครือข่ายของปีเตอร์ ธีลอย่าง *พาลันเทียร์(Palantir)* และ *เพย์พาล(PYPL)* อาจมีบทบาทสำคัญในการเสริมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการขยายบริการในวงกว้าง

แหล่งข่าวจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินให้ความเห็นว่า การได้รับใบอนุญาตธนาคารถือเป็น “*เพียงแค่จุดเริ่มต้น*” โดยขึ้นอยู่กับความสามารถของเอเรบอร์ในการรักษาการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากประสบความสำเร็จ จะช่วยเร่งการเชื่อมโยงระหว่าง *เศรษฐกิจจริงและระบบนิเวศคริปโต* มากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี มีสตาร์ตอัปด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและการดูแลสินทรัพย์หลายรายต้องประสบปัญหาในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ เนื่องจากกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นภายใต้รัฐบาลไบเดน เมื่อเทียบกับยุค *ทรัมป์* การเคลื่อนไหวเชิงรุกของเอเรบอร์จึงอาจเป็นสัญญาณบวกให้กับทั้งวงการคริปโตและฟินเทคในสหรัฐต่อไป