ชิบะอินุ(SHIB) เผาโทเคนพุ่ง 1,090% ในวันเดียว แต่ราคายังดิ่งต่อเนื่อง

ชิบะอินุ(SHIB) มีการเผาทิ้งโทเคนรายวันพุ่งกว่า *1,090%* โดยมีโทเคนถูกเผากว่า 17.29 ล้านรายการภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่สะดุดตาท่ามกลาง ‘แนวโน้มขาลง’ โดยรวมของตลาดคริปโตในช่วงนี้

เมื่อวันที่ 24 ตามเวลาในท้องถิ่น เว็บไซต์ติดตามธุรกรรมของชิบะอินุอย่าง Shibburn รายงานว่า มีการย้ายโทเคนจำนวนมากไปยังกระเป๋าเงินที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ หรือที่เรียกว่า ‘กระเป๋าตาย (Dead Wallet)’ ส่งผลให้เกิดภาวะ ‘การลดซัพพลายแบบฉับพลัน’ ของชิบะอินุ นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะเผาเหรียญ ขณะที่ราคาในตลาดยังคงแกว่งตัวอยู่ในแดนลบ โดยยอดเผาวันเดียวของชิบะอินุสูงถึง 17.29 ล้าน SHIB ซึ่งเพิ่มขึ้นจากวันก่อนถึง *1,090.34%* อย่างไรก็ตาม ยอดรวมสัปดาห์ล่าสุดกลับลดลง 64.5% จากสัปดาห์ก่อน เหลือเพียง 227.89 ล้าน SHIB

ในแง่ราคา สถานการณ์ยังคงไม่สดใส ชิบะอินุร่วงลงจากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ $0.00001026 มาแตะระดับต่ำสุดที่ $0.00000845 และปิดตลาดแบบ ‘ติดลบ’ ติดต่อกันถึง 6 ใน 7 วัน ล่าสุด วันที่ 18 พฤศจิกายน ราคายังคงลดลงอีก 3.47% มาอยู่ที่ $0.00000872

การเคลื่อนไหวของชิบะอินุครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงเทขายทั่วทั้งตลาด บิตคอยน์(BTC) ร่วงลงต่ำกว่า $90,000 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเมษายน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในหมู่นักลงทุน ผลกระทบลุกลามไปยังเหรียญทางเลือก(alts) หลายตัว ซึ่งกำลังทดสอบแนวรับต่ำสุดรอบใหม่ในรอบหลายเดือน ขณะที่เมื่อ 1 วันที่ผ่านมา ตลาดอนุพันธ์ทั่วโลกมีการ *ล้างพอร์ตลงทุน* มูลค่ากว่า 1.03 พันล้านดอลลาร์ โดย 726.52 ล้านดอลลาร์ในนั้นมาจากฝั่ง *Long Position* หรือด้านที่เชื่อว่าราคาจะขึ้น แสดงว่ากลุ่มนักลงทุนสายเก็งกำไรต้องถอนตัวออกจากตลาดอย่างกะทันหัน

ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เอนเอียงไปทางเดียวกัน โดยประเมินว่าการเทขายอาจยังไม่สิ้นสุดในระยะสั้น โดยเฉพาะในบริบทที่ตลาดยังคลุมเครือเรื่องทิศทางดอกเบี้ย ขณะที่สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เช่น คริปโต ยังคงถูกขายเพื่อลดความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายเห็นว่า หากแรงขายจากนักลงทุนช่วงสั้นหมดลง ก็มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวเล็กน้อยในบางช่วง

แม้การเผาโทเคนครั้งใหญ่ของชิบะอินุจะเป็น ‘ข่าวดี’ ด้านพื้นฐานที่อาจช่วยจำกัดซัพพลายในระยะยาว แต่ภาพรวมของตลาดที่ยังคงอยู่ในขาลงอย่างชัดเจน ก็กลายเป็น ‘ปัจจัยลบ’ ที่กดดันการฟื้นตัวของราคาในช่วงเวลานี้