อุปทานสเตเบิลคอยน์แตะ 185,000 ล้านดอลลาร์ หนุนสภาพคล่องตลาดคริปโตฟื้นตัว

แม้จะเผชิญกับภาวะตลาดผันผวนในระยะสั้น แต่บิตคอยน์(BTC) ยังคงแสดงสัญญาณ ‘ขาขึ้น’ ที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า อุปทานของสเตเบิลคอยน์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของสภาพคล่องในตลาดคริปโตและอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการเติบโตในอนาคต

จากรายงานล่าสุดของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลออนเชนอย่างคริปโตควอนต์(CryptoQuant) ระบุว่า ณ เครือข่ายอีเธอเรียม(ETH) อุปทานรวมของสเตเบิลคอยน์แบบ ERC-20 ได้พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 185,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 271.4 ล้านล้านวอน) และยังคงอยู่ในระดับสูงดังกล่าวแม้ในช่วงที่ราคาคริปโตผันผวน ซึ่งบ่งชี้ว่าสภาพคล่องในระบบยังถูกอัดฉีดอย่างต่อเนื่อง

รายงานยังระบุเพิ่มเติมว่า การขยายตัวของอุปทานสเตเบิลคอยน์นั้นมีความสม่ำเสมอมากกว่าการขึ้นลงของราคาบิตคอยน์ พร้อมชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของเม็ดเงินจากภายนอกที่ยังคงไหลเข้าสู่ระบบนิเวศคริปโตโดยไม่หยุดหย่อน XWIN Research Japan ผู้เขียนบทวิเคราะห์ในบล็อกของคริปโตควอนต์ กล่าวว่า “การเพิ่มขึ้นของอุปทานสเตเบิลคอยนถือเป็นการแสดงถึงความพร้อมของเงินทุนในการเข้าสู่ตลาดคริปโต และยังสะท้อนเป็น *สัญญาณการเติบโตที่แข็งแกร่ง*”

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตาคือ การที่ผู้ใช้งานใน แพลตฟอร์มไบแนนซ์ ยังถือครอง ‘สเตเบิลคอยน์’ อยู่ในปริมาณสูง แสดงให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมของ “ดรายพาวเดอร์” หรือ เงินทุนสำรองที่รอจังหวะเข้าสู่ตลาด ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นพลังขับเคลื่อนศักยภาพเด้งกลับของตลาดในอนาคต

ขณะเดียวกัน คริปโตควอนต์ยังระบุว่า การติดตาม ‘อุปทานออนเชน’ ของสเตเบิลคอยนมีความหมายอย่างยิ่งต่อการประเมิน ‘สภาพคล่องแท้จริง’ ในตลาดคริปโต มากกว่าเกณฑ์ชี้วัดจากตลาดการเงินแบบดั้งเดิม เช่น อัตราการขยายตัวของ M2 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินในระบบเศรษฐกิจทั่วไป

จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า *การเพิ่มขึ้นของสเตเบิลคอยน์* ไม่ได้เป็นเพียงตัวชี้วัดสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางของราคาตลาดในระยะกลางถึงยาว โดยเฉพาะในบริบทที่กระแสเงินทุนหมุนเวียนภายในระบบคริปโตเองอาจมีน้ำหนักมากกว่าภาวะเศรษฐกิจภายนอก

ความคิดเห็น: ในช่วงที่ตลาดยังไม่มีแนวโน้มชัดเจน การติดตามอุปทานของสเตเบิลคอยน์อาจกลายเป็นหนึ่งใน *เครื่องมือวิเคราะห์สำคัญ* ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินจังหวะได้อย่างแม่นยำมากขึ้น