หุ้นบริษัทของไมเคิล เซย์เลอร์ ร่วง 30% ใน 2 เดือน แม้เดินหน้าซื้อบิตคอยน์ต่อเนื่อง

บริษัทของไมเคิล เซย์เลอร์ กำลังเผชิญกับแรงกดดันในตลาดหุ้น หลังมูลค่าหุ้นลดลงถึง 30% ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ระบุว่า ราคาหุ้นของบริษัทเมื่อวันที่ 30 มกราคมอยู่ที่ 340.09 ดอลลาร์ ก่อนจะร่วงลงเหลือ 238.25 ดอลลาร์ในวันที่ 10 มีนาคม โดยเฉพาะในวันเดียวกัน ราคาหุ้นลดลงถึง 17% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี

ดัชนีแนสแด็กก็เผชิญภาวะขาลงเช่นกัน โดยลดลงกว่า 4% ในวันเดียวกัน ปัจจัยที่สร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนคือแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว โดยธนาคารกลางสาขาแอตแลนตาคาดการณ์ว่า GDP ของสหรัฐฯ ไตรมาสแรกปี 2025 อาจติดลบถึง -2.4% ขณะที่ดัชนี 'ความกลัวและความโลภ' ของ CNN ลดลงเหลือ 16 ซึ่งถือว่าอยู่ในภาวะ "ความกลัวขั้นสูงสุด"

แม้มูลค่าหุ้นลดลงอย่างมาก บริษัทของเซย์เลอร์ก็ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ซื้อบิตคอยน์(BTC) อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทระดมทุนเพิ่มเติม 2.1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 76,000 ล้านบาท) เพื่อนำมาใช้สำหรับซื้อบิตคอยน์และเป็นทุนหมุนเวียน ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ บริษัทได้ซื้อบิตคอยน์จำนวน 20,356 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 69,000 ล้านบาท)

แม้ว่าราคา ‘บิตคอยน์’ จะเผชิญภาวะขาลงรุนแรงในสัปดาห์เดียวกัน แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทในสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงอยู่ที่ 18.9% โดยเฉลี่ยแล้ว บริษัทซื้อบิตคอยน์ในราคา 66,423 ดอลลาร์ต่อเหรียญ ซึ่งยังต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม แนวทางการใช้ทุนของบริษัทในลักษณะนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักลงทุน บางกลุ่มมองว่านี่คือยุทธศาสตร์ทางการเงินที่ล้ำสมัยและมองการณ์ไกล ขณะที่บางรายแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้เลเวอเรจที่อาจเป็นเหมือน ‘ระเบิดเวลา’ ซึ่งส่งผลกระทบในระยะยาว

ในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา นักลงทุนคริปโตที่ใช้ชื่อ Hedgex.eth ออกมาเตือนว่า "เซย์เลอร์อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบิตคอยน์จากการใช้เลเวอเรจที่มากเกินไป" ในขณะที่เทรดเดอร์ชื่อดัง ฮาราลาโบส วัลการิส แสดงความเห็นว่า "หากเกิดการร่วงลงรุนแรงของบิตคอยน์ในอนาคต บริษัทนี้อาจเป็นต้นเหตุสำคัญ"

แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์ แต่รูปแบบการลงทุนนี้ก็เริ่มมีบริษัทอื่นๆ ที่นำไปใช้เช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ เมตาแพลนเน็ต บริษัทจากญี่ปุ่นที่หลังจากประกาศแนวทางถือบิตคอยน์ ราคาหุ้นของบริษัทก็พุ่งขึ้นถึง 4,800% ภายในหนึ่งปี ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าตลาดยังคงให้ความสนใจในกลยุทธ์นี้อย่างต่อเนื่อง