โครงการ DeFi ‘WLFI’ ที่หนุนโดยครอบครัวทรัมป์ ระดมทุนรอบสองสำเร็จ 590 ล้านดอลลาร์

โครงการการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ‘เวิลด์ ลิเบอร์ตี ไฟแนนเชียล (WLFI)’ ที่ได้รับการสนับสนุนโดยครอบครัวของประธานาธิบดีทรัมป์ ประสบความสำเร็จในการระดมทุนรอบที่สองเป็นมูลค่ากว่า 880,000 ล้านวอน (ประมาณ 590 ล้านดอลลาร์) โดยการขายโทเคนในครั้งนี้ทำให้ WLFI ได้จัดจำหน่ายไปแล้ว 25% ของอุปทานทั้งหมด 100,000 ล้านโทเคน

WLFI เปิดการขายโทเคนใหม่จำนวน 20,000 ล้านโทเคนครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยในการระดมทุนรอบแรก โทเคนถูกเสนอให้แก่นักลงทุนที่อยู่ในรายชื่อได้รับสิทธิ์ (Whitelist) ในราคาหน่วยละ 0.015 ดอลลาร์ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบภายในสหรัฐฯ การขายครั้งล่าสุดจึงจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนสถาบันที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น ผู้ถือครองโทเคน WLFI จะได้รับสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเกี่ยวกับทิศทางของโครงการ และสามารถเสนอแนวทางพัฒนาโปรโตคอลรวมถึงแผนสร้างความร่วมมือได้อีกด้วย

ทีมโครงการมีเป้าหมายในการขยายการเข้าถึง DeFi และเพิ่มการยอมรับของสเตเบิลคอยน์ที่อิงกับดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมสร้างอิทธิพลทางการเงินของดอลลาร์ในระดับโลก ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา WLFI ได้ประกาศแผนการจัดตั้งกองทุนสำรอง ‘กลยุทธ์มหภาค’ ซึ่งคาดว่าจะประกอบด้วย บิตคอยน์ (BTC) อีเธอเรียม (ETH) และสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาใช้สินทรัพย์ที่ผ่านกระบวนการโทเคนไนซ์ (RWA) เป็นส่วนหนึ่งของกองทุนดังกล่าว โดยได้รับความร่วมมือจากออนโด ไฟแนนซ์ (ONDO)

โครงการ WLFI ยังได้ลงนามความร่วมมือกับเครือข่ายบล็อกเชนยุคใหม่ ‘สุย (SUI)’ เพื่อบูรณาการสินทรัพย์สำรองเข้ากับระบบของตน อีกทั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จัสติน ซัน ผู้ก่อตั้งทรอน (TRX) ได้ลงทุนใน WLFI เป็นจำนวน 45,000 ล้านวอน (ประมาณ 30 ล้านดอลลาร์) และในเดือนมกราคม แพลตฟอร์มการลงทุน Web3Port ได้อัดฉีดเงินทุนเพิ่มอีก 15,000 ล้านวอน (ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์)

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใส โดยเฉพาะประเด็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์เนื่องจากการเชื่อมโยงกับแบรนด์ของทรัมป์ นอกจากนี้ ข้อจำกัดในการโอนย้ายโทเคนอาจส่งผลกระทบต่อความน่าสนใจของโครงการในหมู่นักลงทุน โนเอล แอทชิสัน นักวิเคราะห์คริปโตเคอเรนซี ให้ความเห็นว่า "เนื่องจาก WLFI เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับทรัมป์ แรงดึงดูดจากสาธารณชนจึงมีสูง แต่หากโครงการล้มเหลว อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดคริปโตโดยรวม"