สิงคโปร์เร่งพัฒนา AI รับมือสังคมผู้สูงวัย พร้อมขยายสู่ภาคธุรกิจ

สิงคโปร์เร่งนำ AI รองรับสังคมผู้สูงอายุ พร้อมขยายการใช้งานสู่ธุรกิจ

สิงคโปร์เดินหน้าปรับใช้ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ (AI) เพื่อรองรับจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขเปิดเผยว่า เทคโนโลยี AI ได้รับการทดลองใช้งานหลายครั้งและได้รับผลตอบรับที่ดี จึงมีแผนนำระบบนี้ใช้จริงในสถานดูแลผู้สูงอายุและสถานบริบาล

คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 ประชากรของสิงคโปร์กว่า ‘25%’ จะมีอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและภาระด้านการแพทย์ ด้วยเหตุนี้ สิงคโปร์จึงมุ่งพัฒนา AI เพื่อช่วยบริหารจัดการผู้ป่วยที่ไม่เร่งด่วนและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบงานด้านเอกสาร

ทั้งนี้ คณะกรรมการพัฒนาที่อยู่อาศัยของสิงคโปร์ (HDB) กำลังพัฒนา ‘ระบบตรวจจับการล้มภายในบ้าน’ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งจะแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลโดยอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ผู้เชี่ยวชาญยังคาดการณ์ว่า AI จะถูกนำมาใช้ใน ‘อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ’ เพื่อติดตามสุขภาพของผู้สูงวัยแบบเรียลไทม์ และส่งสัญญาณเตือนทันทีหากพบอาการผิดปกติ

นอกจากนี้ กำลังมีการพิจารณาใช้ ‘แชตบอต AI’ ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและจัดทำแผนการรักษาส่วนบุคคลได้สะดวกขึ้น บริษัท ‘Sensi.AI’ จากสหรัฐฯ ได้เริ่มขยายตลาดมายังสิงคโปร์ โดยนำเสนอโซลูชันติดตามสุขภาพผ่าน ‘สัญญาณเสียงและระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์’ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม การใช้ AI ในภาคการแพทย์ยังเผชิญความกังวลด้าน ‘ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล’ และ ‘ความผิดพลาดทางเทคนิค’ ทางการจึงเตรียมกำหนด ‘มาตรฐานทางจริยธรรมและแนวทางความปลอดภัยที่เข้มงวด’ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี AI

ปัจจุบัน สิงคโปร์ให้การสนับสนุน ‘การพัฒนา AI’ อย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่งลงทุนสูงถึง ‘1 พันล้านดอลลาร์’ หรือราว ‘3.6 หมื่นล้านบาท’ เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาบุคลากรด้าน AI นายโสฟแนนดู โมหันตี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายฟินเทคของธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) กล่าวถึงเป้าหมายการพัฒนา AI ว่า “เรากำลังมอง AI ในระยะยาว โดยจะเลือกเทคโนโลยีที่มีความยั่งยืนและสร้างมูลค่าได้ในอนาคต”

นอกเหนือจากภาคการแพทย์ AI ยังเริ่มเข้ามามีบทบาทใน ‘ธุรกิจ SME’ ของสิงคโปร์ โดยสมาคมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งสิงคโปร์ (ASME) และ ‘มหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์’ (SMU) ได้ร่วมมือกันเปิดหลักสูตร ‘Generative AI’ สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจที่ไม่ใช่สายเทคโนโลยี เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจวิธีสร้างและใช้โซลูชัน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายอัง ยูอิต ประธาน ASME ย้ำว่า การนำ AI มาใช้งาน “ไม่ใช่แค่การให้เครื่องมือ แต่เป็นการสร้างความเข้าใจว่าควรใช้อย่างไร” พร้อมเสริมว่า เป้าหมายหลักคือช่วยให้ SME “นำ AI มาสร้างมูลค่าทางธุรกิจที่แท้จริง”

แม้ว่าปัจจุบันมีเพียง ‘4.4%’ ของ SME สิงคโปร์ที่ใช้ AI แต่การฝึกอบรมและการสนับสนุนจากภาครัฐจะช่วยผลักดันให้สัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็น ‘เลขสองหลัก’ ในไม่ช้า ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังพิจารณาแนวทางผสาน AI เข้ากับ ‘ภาคการเงิน’ และ ‘การบริหารภาครัฐ’ รวมถึงสำรวจโอกาสในการใช้ AI ควบคู่กับ ‘บล็อกเชน’ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยด้านข้อมูลและประสิทธิภาพทางธุรกิจ