แนสแด็กยื่นขอ SEC อนุมัติ ETF สปอตอะวาแลนเช(AVAX) หวังดันเข้าสู่กระแสหลัก

ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กของสหรัฐ ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ(SEC) เพื่อขออนุมัติการปรับข้อกำหนดสำหรับการนำ ‘เกรย์สเกล อะวาแลนเช ทรัสต์’ (Grayscale Avalanche Trust) มาเปลี่ยนเป็นกองทุน ETF ประเภทสปอตในสหรัฐ เมื่อวันที่ 27 ตามเวลาท้องถิ่น ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของแนสแด็กในการผลักดัน ‘อะวาแลนเช(AVAX)’ สู่ตลาดการเงินกระแสหลักภายใต้กรอบกำกับดูแล

จากเอกสารที่ส่งในวันเดียวกัน แนสแด็กระบุว่าโครงการดังกล่าวจะต่อยอดจาก ‘เกรย์สเกล อะวาแลนเช ทรัสต์’ ที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2024 ไปสู่การเป็นกองทุน ETF ประเภทสปอต ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ได้โดยตรง เกรย์สเกลเปิดเผยผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการว่า โครงสร้างของ ETF ที่มี *กลไกอาร์บิทราจ* ช่วยให้ราคาของกองทุนสะท้อนมูลค่าของสินทรัพย์อ้างอิงได้แม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมระบุว่าทรัสต์ที่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดการรายงานของ SEC จะถูกพิจารณาเป็น ‘ตัวเลือกหลัก’ สำหรับการแปลงเป็น ETF หากสภาวะกำกับดูแลเอื้ออำนวย

ปัจจุบัน ‘เกรย์สเกล อะวาแลนเช ทรัสต์’ มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 1.76 ล้านดอลลาร์ หรือราว 25.7 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วย (NAV) ที่ 10.86 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสะท้อนถึงจำนวนอะวาแลนเชประมาณ 0.49 เหรียญต่อหุ้น โดยราคาดังกล่าวมี *พรีเมียม* อยู่ที่ราว 7.4% เมื่อเทียบกับราคาตลาดของ AVAX ที่อยู่ประมาณ 10.11 ดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก CoinMarketCap

การยื่นคำร้องครั้งนี้สะท้อนแผนการของเกรย์สเกลในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ ETF สกุลเงินดิจิทัล โดยปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์รวม 28 รายการ โดย 25 รายการในนั้นเป็นกองทุนที่อิงกับคริปโตเพียงสกุลเดียว นอกจากนี้ยังมีแผนเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ เช่น สปอตริปเปิล(XRP), คาร์ดาโน(ADA) และไลต์คอยน์(LTC) ให้เป็นกองทุน ETF โดยอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก SEC

ก่อนหน้านี้ เกรย์สเกลสามารถเปลี่ยน ‘บิตคอยน์(BTC) ทรัสต์’ และ ‘อีเธอเรียม(ETH) ทรัสต์’ เป็น ETF ได้สำเร็จ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ‘บิตคอยน์มินิทรัสต์’ และ ‘อีเธอมินิทรัสต์’ ด้วยอัตราค่าธรรมเนียมเพียง 0.15% ต่อปี ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดและได้รับความนิยมจากนักลงทุนที่ต้องการลดต้นทุน

อย่างไรก็ตาม ‘เกรย์สเกล บิตคอยน์ ทรัสต์’ ที่เปลี่ยนเป็น ETF เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (11 มกราคม) กลับเผชิญการไหลออกของทุนอย่างหนักกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 30.7 หมื่นล้านบาท จนกลายเป็น ETF บิตคอยน์ในสหรัฐเพียงกองเดียวที่ประสบปัญหานี้ ส่วนหนึ่งมาจากค่าธรรมเนียมที่สูงถึง 1.5% ต่อปี ซึ่งยังคงเป็นโครงสร้างเดียวกับ ‘อีเธอเรียม ETF’ ที่ผ่านมา

เกรย์สเกลเน้นย้ำว่า การเปลี่ยน ‘อะวาแลนเช ทรัสต์’ มาเป็นกองทุน ETF จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการลดค่าธรรมเนียม เปิดประตูสู่โอกาสการลงทุนใหม่อย่างมีการกำกับ และขยายบทบาทในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หาก SEC อนุมัติ ETF ดังกล่าวสำเร็จ จะเป็นการเพิ่ม ‘ตัวเลือกการลงทุน’ ที่หลากหลายขึ้นสำหรับนักลงทุนสถาบัน พร้อมผลักดันสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่กระแสหลักอย่างต่อเนื่อง