ข่าว 
ข้อมูลเหรียญ 
แนะนำสื่อ 
คณะกรรมาธิการบริการทางการเงินแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมาย STABLE ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อวางกรอบกำกับดูแล ‘สเตเบิลคอยน์’ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 (เวลาท้องถิ่น) ด้วยคะแนนเสียง 32 ต่อ 17 เสียง การเห็นชอบในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของกระบวนการร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งยังต้องผ่านการลงมติจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป
ร่างกฎหมายชื่อเต็มว่า ‘การสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่สมดุลผ่านความโปร่งใสและความรับผิดชอบของสเตเบิลคอยน์ (STABLE, Stablecoin Transparency and Accountability for a Better Ledger Economy)’ ถูกเสนอครั้งแรกเมื่อปี 2020 แต่ไม่สามารถผลักดันให้เป็นกฎหมายได้ และถูกยื่นใหม่อีกครั้งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาในรูปแบบที่มีการปรับแก้บางส่วน
เนื้อหาหลักของกฎหมาย STABLE คือการให้อำนาจกับสำนักงานควบคุมสกุลเงินของรัฐบาลกลาง (OCC) ในการอนุมัติและกำกับดูแลผู้ออกสเตเบิลคอยน์ภาคเอกชนที่ไม่ใช่ธนาคารภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ ซึ่ง *มุ่งเน้นให้ผู้ออกเหรียญต้องปฏิบัติตามมาตรฐานทางการเงินอย่างเข้มงวด* คล้ายกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม เพื่อปกป้องผู้บริโภคและรักษาเสถียรภาพของระบบโดยรวม
บรายัน สตีล สมาชิกสภาผู้แทนฯ ซึ่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เทคโนโลยีการเงิน และปัญญาประดิษฐ์ กล่าวว่า “กฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงป้องกันผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างสถานะของดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินหลักของโลก และช่วยให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเว็บ3 ด้วย” ขณะที่ไมค์ ฟลัด สมาชิกพรรครีพับลิกันระบุว่าร่างกฎหมายนี้มีลักษณะ ‘ใช้งานได้จริง’ โดยให้ความสำคัญกับการควบคุมทั้งในระดับรัฐบาลกลางและของรัฐ
ด้านยอง คิม สมาชิกสภาฯ อีกคนหนึ่งกล่าวว่า *“สเตเบิลคอยน์สามารถช่วยขยายบทบาทของค่านิยมและความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ* ทั้งในและนอกประเทศ” ส่วนแดน มิวเซอร์ หนึ่งในผู้ร่วมเสนอร่างกฎหมายเน้นว่าสเตเบิลคอยน์มีศักยภาพ “พลิกโฉมประสิทธิภาพของระบบชำระเงิน และสร้างประโยชน์ให้แก่ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ”
นอกจากร่าง STABLE ยังมีร่างกฎหมายอื่นเกี่ยวกับสเตเบิลคอยน์ที่รอการพิจารณาในสภาสหรัฐฯ ได้แก่ร่าง ‘GENIUS (Guiding and Establishing National Innovation for US Stablecoins)’ ซึ่งเน้นไปที่การกำหนดมาตรฐานรองรับการค้ำประกัน เหรียญที่ผูกกับเงินสำรอง เช่น เงินฝากธนาคารหรือเงินฝากกับธนาคารกลาง
ปัจจุบันตลาดสเตเบิลคอยน์ทั่วโลกถูกครอบครองโดยเทเธอร์(USDT) ซึ่งออกเหรียญรวมมูลค่า 144,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 60% ของตลาด ตามด้วย USD Coin(USDC) ของเซอร์เคิล ซึ่งมีมูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์ และตามมาด้วย USDS (ชื่อเดิม DAI) ที่มีขนาดตลาดราว 8,000 ล้านดอลลาร์
ล่าสุด เซอร์เคิล ได้ยื่นเอกสารอย่างเป็นทางการต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) เพื่อเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ซึ่งนับเป็นแรงส่งสำคัญต่อการเติบโตของตลาดคริปโตภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน
ในฝั่งยุโรป แพลตฟอร์มใหญ่อย่างไบแนนซ์ได้ถอดเหรียญสเตเบิลหลัก เช่น USDT และ DAI ออกจากตลาดในกลุ่มยูโรโซน ภายใต้การเตรียมรับมือกับกฎหมายตลาดสินทรัพย์คริปโต (MiCA) ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นสัญญาณว่า *บรรดาผู้เล่นระดับโลกกำลังปรับตัวเข้าหาการกำกับดูแลมากยิ่งขึ้น*
นอกจากนี้ ความน่าสนใจยังอยู่ที่ข้อเท็จจริงว่า ร่างกฎหมาย STABLE สอดคล้องกับนโยบาย *สายเป็นมิตรต่อสินทรัพย์ดิจิทัลของประธานาธิบดีทรัมป์* ซึ่งเพิ่งมีคำสั่งให้ทบทวนกฎระเบียบคริปโตระดับชาติและการจัดการเงินสำรองของรัฐ ส่งผลให้โอกาสในการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความสนใจมากขึ้นในหมู่ผู้กำหนดนโยบายและนักลงทุนคริปโตทั่วสหรัฐฯ
ความคิดเห็น 0