บิตคอยน์(BTC) ร่วงหลุด 80,000 ดอลลาร์ ตลาดคริปโตสะเทือนหลังหุ้นจีนดิ่งหนัก

เมื่อวันที่ 7 ตลาดหุ้นจีนปรับตัวร่วงอย่างรุนแรง ส่งผลสะเทือนต่อบรรยากาศของตลาดการเงินทั่วโลก โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้ปิดตลาดที่ระดับ 3,130.17 จุด ลดลงถึง 6.34% ขณะที่ฮ่องกงเผชิญแรงเทขายอย่างหนัก ดัชนีฮั่งเส็งร่วงเฉียบพลันถึง 10.7% ลงไปแตะระดับ 20,404 จุด ความผันผวนนี้ลุกลามไปยังตลาดหลักในเอเชียอื่น ๆ ทั้งดัชนีนิกเกอิ 225, นาสแด็ก และนิฟตี้ 50 ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงแนวโน้มขาลงได้

แรงกดดันหลักที่อยู่เบื้องหลังความปั่นป่วนดังกล่าวมาจากการทวีความรุนแรงของข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยจีนออกมาตอบโต้เชิงรุกต่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศในสัปดาห์ก่อน และล่าสุด สหภาพยุโรปได้ส่งสัญญาณว่าอาจมีการใช้มาตรการตอบโต้ในรูปแบบของการเก็บภาษีเพิ่มเติมเช่นกัน สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกต่อทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบต่อเนื่อง โดยตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในดัชนีสำคัญอย่างดาวโจนส์ นาสแด็ก และ S&P 500 เริ่มมีแรงขายเพิ่มขึ้น แม้ว่านักลงทุนบางส่วนในวอลล์สตรีทจะเริ่มพิจารณาการเข้าซื้อหุ้นคุณภาพดีที่ราคาตกต่ำ แต่โดยภาพรวมบรรยากาศยังถูกครอบงำด้วยความกลัวและการเทขายอย่างหนัก

สถานการณ์ความไม่แน่นอนในตลาดการเงินดั้งเดิมยังลุกลามมาถึงตลาดคริปโต โดยบิตคอยน์(BTC) ร่วงหลุดแนวรับ 80,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.17 ล้านบาท) และจุดชนวนให้เกิดการล้างพอร์ตในวงกว้าง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.46 หมื่นล้านบาท) ภายในเวลาเพียงวันเดียว โดยเฉพาะสถานะซื้อระยะยาวหรือ ‘ลอง’ ถูกล้างไปราว 850 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.24 หมื่นล้านบาท) แสดงให้เห็นแรงกดดันด้านลบที่ส่งผลต่อทั้งตลาดอย่างชัดเจน

ขณะนี้ความเชื่อมั่นในการลงทุนคริปโตยังคงอยู่ในภาวะตึงเครียด ข้อมูลจากออนเชนระบุว่าบรรดานักลงทุนรายใหญ่หรือ “วาฬคริปโต” เริ่มขายสินทรัพย์จำนวนมากและเปลี่ยนไปถือครองสเตเบิลคอยน์ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า การเคลื่อนย้ายสินทรัพย์เหล่านี้ ตอกย้ำถึง ‘การตื่นตระหนกระดับสูง’ ในตลาด และเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาเหรียญหลักอย่างอีเธอเรียม(ETH), โซลานา(SOL) และริปเปิล(XRP) ร่วงลงระหว่าง 10-15% จากระดับราคาก่อนหน้า นักลงทุนจำนวนมากจึงเริ่มพิจารณาการลงทุนเชิงรับหรือถอยห่างจากความเสี่ยง

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าในระยะสั้น ตลาดคริปโตมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวสอดคล้องไปกับตลาดดั้งเดิม และปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนเรื่องอัตราดอกเบี้ย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน ล้วนมีแนวโน้มจะกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง นอกจากนี้ ความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะกลับมาใช้มาตรการกดดันทางการค้าอีกครั้ง ยังอาจเพิ่มแรงกดดันฝั่งขาลงต่อคริปโตในระยะยาวอีกด้วย ‘ความผันผวนระดับสูงกำลังกลายเป็นภาวะปกติใหม่ของตลาด’ คือสิ่งที่หลายฝ่ายต่างเห็นพ้องในขณะนี้