นโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์สร้างแรงกระเพื่อมต่อระบบการเงินโลก พร้อมลากคริปโตเข้าสู่ช่วงขาลงเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) สหรัฐฯ ประกาศเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหม่กับกลุ่มประเทศการค้าหลัก อาทิ จีนและสหภาพยุโรป(EU) ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะปั่นป่วน ขณะที่บิตคอยน์(BTC)เผชิญกับแรงเทขายเฉียบพลัน
จากข้อมูลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์และแนสแด็กของสหรัฐฯ ดิ่งลงถึง 5.5% และ 5.82% ตามลำดับ ทำให้มูลค่าตลาดทุนหายไปราว 8.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11,972 ล้านล้านวอน ซึ่งเป็นระดับความเสียหายที่มากกว่าวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 บ่งชี้ชัดเจนถึงความเข้มข้นของภาวะ 'หลีกเลี่ยงความเสี่ยง' ในหมู่นักลงทุน ทั้งนี้ ตลาดหุ้นโตเกียวก็ไม่รอด โดยฟิวเจอร์สดัชนีนิเคอิ225 ร่วงแตะระดับล่างสุด ทำให้ระบบตัด circuit breaker อัตโนมัติถูกนำมาใช้งาน
รายละเอียดของนโยบายภาษีใหม่นี้กำหนดไว้ที่อัตรา ‘10% เป็นหลัก’ พร้อมนโยบาย 'ภาษีตอบโต้' ที่พุ่งเป้าไปยังกลุ่มประเทศคู่ค้าอย่าง จีน, EU, เกาหลีใต้ และแคนาดา โดยเฉพาะจีนจะถูกเก็บเพิ่มถึง 34% ส่วน EU จะอยู่ที่ 20% ซึ่งไม่นานนัก จีนก็ออกมาตรการสวนกลับ ด้วยการกำหนดภาษี 34% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ รวมทั้งเตรียมนำประเด็นเข้าสู่การพิจารณาของ WTO ขณะเดียวกัน EU ก็เตรียมตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีมูลค่า 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 40.8 ล้านล้านวอน การเคลื่อนไหวดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดความกังวลว่าอาจลุกลามเป็น ‘สงครามการค้า’ เต็มรูปแบบ
ฝั่งตลาดคริปโตเองก็ได้รับแรงกดดันไม่แพ้กัน บิตคอยน์ร่วงลง 5.27% ภายในวันเดียว ปรับตัวลงไปอยู่ที่ 78,943 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.15 ล้านบาทต่อ 1BTC แม้เคยถูกมองว่าเป็นเครื่องป้องกันความผันผวนในตลาดช่วงวิกฤต แต่คราวนี้กลับพ่ายต่อกระแส ‘แรงขาย’ อย่างหมดรูป ขณะที่เหรียญทางเลือกหรือ Altcoin ชั้นนำหลายตัวต่างก็ลดลงเฉลี่ยเกือบ 10%
ด้านความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ คริปโตควอนต์(CryptoQuant) โดยซีอีโอ ‘กี ยอง จู(Ki Young Ju)’ ระบุผ่านข้อมูลออนเชนว่า บิตคอยน์ ‘เข้าสู่ขาลง’ แล้วอย่างชัดเจน เขายกตัวอย่างดัชนีมูลค่าตลาดตามราคาซื้อขายจริง (Realized Cap) ซึ่งสะท้อนการเคลื่อนไหวของเงินทุนเข้าตลาด แต่ไม่พบการตอบสนองในราคาตลาดปัจจุบัน จนนำไปสู่ ‘สัญญาณหมี’ ขั้นพื้นฐานครั้งใหม่ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาบิตคอยน์เคยใกล้แตะ 100,000 ดอลลาร์ ก็ยังคงมีแรงขายต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาไม่สามารถทะลุเพดานได้
สำหรับแนวโน้มในระยะต่อไป กี ยอง จูให้ความเห็นว่า แรงขายอาจคลายตัวในบางช่วง แต่การฟื้นตัวแบบยั่งยืนอาจต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือน อีกทั้งปัจจัยต่าง ๆ อย่างการไหลของ ETF หรือการนำเหรียญเข้า–ออกจากตลาดก็ยังสะท้อนภาวะ ‘ตลาดหมี’ อย่างต่อเนื่อง
วิกฤตจากนโยบายภาษีของทรัมป์รอบนี้ ได้เผยให้เห็นความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างตลาดการเงินดั้งเดิมกับตลาดคริปโตมากขึ้น ทั้งที่บิตคอยน์ถูกมองว่าเป็น ‘ทองคำดิจิทัล’ และควรทำหน้าที่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง แต่กลายเป็นว่าสภาพคล่องและแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกยังส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตลาดจะจับตาการประชุม FOMC ที่จะมีขึ้นเร็ว ๆ นี้ รวมถึงข้อมูลแรงงานจากสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยทุกสายตาจะเบนไปที่แนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ ในการกำหนดทิศทางของสินทรัพย์เสี่ยงสู่ไตรมาสถัดไป.
ความคิดเห็น 0