อุตสาหกรรมคริปโตพยายามผลักดันแนวคิด ‘การเข้าถึงทางการเงิน’ ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลและแอปซื้อขายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ความเป็นจริงกลับสวนทาง โดยยังมีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคนทั่วโลกที่อยู่นอกระบบการเงิน และอัตราการนำคริปโตมาใช้ยังต่ำกว่า 10% ความคาดหวังเรื่อง ‘การกระจายอำนาจ’ และ ‘การเข้าถึงที่กว้างขึ้น’ กลายเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตผู้คนที่พึ่งพาเงินสดในชีวิตประจำวัน
ในประเทศกำลังพัฒนาอย่างในแอฟริกา เอเชียใต้ และลาตินอเมริกา เงินสดไม่ใช่แค่ช่องทางชำระเงิน แต่เป็นเครื่องมือในการเอาชีวิตรอด เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารมีจำกัด สมาร์ตโฟนยังเข้าถึงไม่ทั่วถึง และทักษะด้านดิจิทัลยังเป็นอุปสรรคใหญ่ การออกแบบระบบที่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตและแอปจึงไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานในภูมิภาคเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่มีการทดลองใช้โซลูชันคริปโตแบบออฟไลน์ กลับมีแนวโน้มการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นว่าผู้คนมีความสนใจในคริปโตอยู่แล้ว แต่ขาดทางเลือกที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตของตน "ความคิดเห็น" รูปแบบการเข้าถึงจึงเป็นปัญหามากกว่าความต้องการใช้งานจริง
แนวคิดที่ว่า ‘การใช้เงินสดจะลดลงอย่างรวดเร็ว’ ก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น ที่โรมาเนียมีการใช้เงินสดถึง 76% แต่คริปโตกลับถูกใช้งานถึง 14% หรือที่โมร็อกโกแม้คริปโตจะถูกห้ามตามกฎหมาย แต่มีประชากรถึง 16% ใช้งานอยู่ และแม้แต่ในอินเดียซึ่งเป็นตลาดเทคโนโลยีใหญ่ระดับโลก ยังมีการใช้เงินสดอยู่ถึง 63% แต่ความสนใจในคริปโตก็ยังเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน
สิ่งที่หลายภูมิภาคเหล่านี้มีเหมือนกันคือ ‘ความอยากใช้’ แต่กลับไม่มี ‘ช่องทางเข้าถึง’ ที่เหมาะสม วิธีการของอุตสาหกรรมคริปโตในปัจจุบันจึงไม่สามารถเชื่อมโยงช่องว่างนี้ได้ และนั่นคืออุปสรรคสำคัญที่สุด ไม่ใช่เพราะผู้คนไม่ต้องการใช้ แต่เป็นเพราะผู้พัฒนาระบบมองว่ากระเป๋าดิจิทัลหรือแอปออนไลน์คือทางเลือก ‘เดียว’ เท่านั้น
คำตอบอาจอยู่ที่วิธีง่ายๆ อย่างการเชื่อมโยงบล็อกเชนเข้ากับเงินสดโดยตรง การใช้คิวอาร์โค้ดบนบัตรกำนัล หรือบริการส่งเงินผ่านข้อความที่ไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต โมเดลลักษณะนี้เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว เช่น M-Pesa ในแอฟริกาที่สามารถแปลงเงินสดเป็นทรัพย์สินดิจิทัลได้โดยไม่ต้องมีบัญชีธนาคาร และปัจจุบันมีผู้ใช้กว่า 66 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวคิดนี้สามารถปรับใช้กับคริปโตได้เช่นกัน
ความพยายามบางส่วนก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในแอฟริกา เช่นบริการ ‘มาชันคูรา(Machankura)’ ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ทำธุรกรรมบิตคอยน์(BTC) ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานโดยไม่ต้องใช้สมาร์ตโฟน และมีผู้ใช้งานแล้วมากกว่า 13,600 ราย ระบบอย่างนี้ที่ไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ กำลังบอกใบ้ภาพของ ‘อนาคตของคริปโต’ ที่ไม่ซับซ้อนและเข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น
ภายใต้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ที่กำลังเร่งปรับแนวทางให้เอื้อต่อคริปโตมากขึ้น การจะผลักดันให้เกิดการเข้าถึงทางการเงินอย่างแท้จริง จำเป็นต้องเปลี่ยน ‘วิธีเข้าถึง’ แทนที่จะมุ่งพัฒนาแค่ ‘เทคโนโลยี’ โซลูชันที่ตอบโจทย์ผู้คนกว่าหลายพันล้านที่ยังพึ่งพาเงินสดคือตัวแปรสำคัญที่จะเร่งการยอมรับคริปโตทั่วโลกได้เร็วขึ้นอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0