เมตะมาสก์(MetaMask) เปิดตัวบัตรเดบิตคริปโตใบแรก เสริมแกร่ง Self-Custody บนเครือข่าย Mastercard

เมตะมาสก์(MetaMask) กระเป๋าเงินดิจิทัลชื่อดังที่รองรับอีเธอเรียม(ETH) เตรียมเปิดตัว ‘บัตรเดบิตคริปโต’ ใบแรกของบริษัท โดยเน้นการเก็บสินทรัพย์แบบ *‘ควบคุมด้วยตนเอง’ (Self-Custody)* เพื่อเป็นอีกทางเลือกแก่ผู้ใช้งานที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการฝากเงินไว้ในแพลตฟอร์มศูนย์กลาง เช่น กระดานเทรดแบบดั้งเดิม

บัตรดังกล่าวใช้เครือข่ายของมาสเตอร์การ์ด(Mastercard) และอยู่ระหว่างการร่วมพัฒนากับคอมโพซีเคียว(CompoSecure) และบานซ์(Baanx) โดยเมตะมาสก์ออกแบบให้สามารถสั่งจ่ายผ่านสัญญาอัจฉริยะได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาทำธุรกรรมไม่เกิน 5 วินาที บัตรนี้จะทำงานบน *‘ลิเนีย’ (Linea)* เครือข่ายเลเยอร์ 2 ของอีเธอเรียม

เมตะมาสก์ เผยว่าผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถป้องกันสินทรัพย์จากความเสี่ยงการถูกแฮ็กได้ดียิ่งขึ้น โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ไบร์บิต(Bybit) แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตอันดับ 2 ของโลก เคยถูกแฮ็กสูญเสียสินทรัพย์รวมกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 44,000 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนกังวลด้านความปลอดภัยอย่างหนัก

การเปิดตัวบัตรเดบิตของเมตะมาสก์ในครั้งนี้ จึงถูกมองว่ามีศักยภาพจะเปลี่ยนโฉมตลาดการชำระเงินคริปโต ซึ่งเดิมถูกครอบครองโดยบัตรจากศูนย์กลางอย่าง ไบแนนซ์(Bybit), ไบร์บิต(Bybit), คอยน์เบส(Coinbase) และคริปโตดอทคอม(Crypto.com) ที่เน้นฟีเจอร์รางวัลสะสมคะแนน

อย่างไรก็ตาม เมตะมาสก์กำลังเผชิญความท้าทายด้านรายได้ จากการที่ความสนใจลงทุนในอีเธอเรียมหดตัวลง ล่าสุดจากข้อมูลของดูน แอนะลิติกส์(Dune Analytics) ณ วันที่ 14 เมษายน พบว่า รายได้จากค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนบนแพลตฟอร์มลดลงเหลือเพียงประมาณ 290,000 ดอลลาร์ หรือราว 4.2 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึง *75%*

ปัจจุบัน การใช้คริปโตเป็นเครื่องมือในการ *“ชำระเงินจริง”* กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับสูงอย่าง ดอร์เซีย(Dorsia) ที่เริ่มรับชำระด้วยสกุลเงินดิจิทัลหลากหลาย หรือแอปพลิเคชันส่งข้อความ ‘ซิกแนล’(Signal) ที่กำลังพิจารณาฟีเจอร์การโอนเงินด้วยบิตคอยน์(BTC) ระหว่างผู้ใช้งาน ขณะที่รัฐนิวยอร์กในสหรัฐฯ ได้มีการเสนอร่างกฎหมายยอมรับ ‘คริปโต’ เป็นช่องทางการชำระเงินที่ชอบด้วยกฎหมายอย่างเป็นทางการ

เมื่อตลาดชำระเงินจริงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ *ความสามารถในการใช้งานได้จริง* จึงกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของวงการคริปโต นำไปสู่การแข่งขันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินที่ล้ำสมัยและเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น