EU แบนบัญชีคริปโตไม่ระบุตัวตนและโทเคนเน้นความเป็นส่วนตัว เริ่มใช้ปี 2027

สหภาพยุโรป(EU) เตรียมประกาศแบน ‘บัญชีคริปโตแบบไม่ระบุตัวตน’ และโทเคนกลุ่ม ‘คริปโตเน้นความเป็นส่วนตัว’ อย่างครอบคลุม เริ่มบังคับใช้ในปี 2027 มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงกฎหมายต้านการฟอกเงินอย่างเข้มข้น และถือเป็นหนึ่งในมาตรการควบคุมอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้มงวดที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เมื่อวันที่ 24 สภายุโรปได้อนุมัติกฎระเบียบการต่อต้านการฟอกเงินฉบับใหม่ หรือ AMLR ซึ่งกำหนดให้สถาบันการเงิน, สถาบันให้สินเชื่อ และผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล(CASP) ที่อยู่ภายใต้เขต EU ไม่สามารถเปิดหรือให้บริการบัญชีที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ รวมถึงไม่สามารถรองรับโทเคนที่เน้นความเป็นส่วนตัว เช่น โมเนโร(XMR) และแซดแคช(ZEC) ได้อีกต่อไป

ตามมาตรา 79 ของ AMLR ระบุอย่างชัดเจนว่า “ห้ามมิให้สถาบันการเงิน, สถาบันให้สินเชื่อ และ CASP ถือครองหรือดำเนินการบัญชีที่ไม่สามารถระบุตัวตนในทุกรูปแบบ” ซึ่งหมายความว่าไม่เพียงแค่การซื้อขายเท่านั้น แม้แต่การดำรงอยู่ของบัญชีลักษณะดังกล่าวก็จะผิดกฎโดยทันทีเมื่อกฎหมายมีผล

ยูโรเปียนคริปโตอินิชิเอทีฟ(EUCI) ซึ่งเป็นองค์กรนโยบายด้านคริปโตในยุโรป ได้แถลงว่ากฎหมายใหม่นี้ครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิทัลทุกประเภทที่มีฟีเจอร์ด้าน ‘ความเป็นส่วนตัว’ โดยชี้ว่าโทเคนกลุ่มนี้อาจถูกใช้เพื่ออำพรางธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย และยากต่อการตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน

จุดเด่นของ AMLR คือการที่สหภาพยุโรปกำหนดกฎหมายควบคุมที่ใช้ร่วมกันในทุกประเทศสมาชิกเป็นครั้งแรก พร้อมกับให้หน่วยงานกำกับดูแลของยุโรปมีอำนาจในการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายโดยตรง ซึ่งสะท้อนความตั้งใจที่จะไม่พึ่งพาการกำกับตนเองของอุตสาหกรรมแต่หันมาใช้วิธี ‘ควบคุมจากศูนย์กลาง’ มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่คัดค้านบางส่วนกังวลว่าการห้ามการใช้งานโทเคนเน้นความเป็นส่วนตัวอาจกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลและการพัฒนาเทคโนโลยี โดยชี้ว่าคริปโตเน้นความเป็นส่วนตัวมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองข้อมูลของผู้ใช้งาน ขณะที่ ‘ความคิดเห็น’ จาก EU ยืนยันว่าความเสี่ยงในการถูกใช้ฟอกเงินนั้นสูงเกินกว่าที่จะปล่อยให้โทเคนเหล่านี้ดำเนินอยู่ได้

การดำเนินการของ EU สอดคล้องกับแนวทางระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ และองค์กรป้องกันการฟอกเงินระหว่างประเทศ (FATF) ที่ต่างก็แนะนำให้ประเทศสมาชิกเขียนกฎหมายควบคุมลักษณะเดียวกัน และอาจมีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายในพื้นที่อื่นในอนาคตด้วย