เมื่อวันที่ 11 (เวลาท้องถิ่น) คณะกรรมการย่อยด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เทคโนโลยีทางการเงิน และปัญญาประดิษฐ์แห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้จัดการไต่สวน ซึ่งในที่ประชุมนั้น ทิโมธี มาซซาด(Timothy Massad) อดีตประธานคณะกรรมาธิการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐฯ (CFTC) ได้วิจารณ์ร่างกฎหมายกำกับดูแล ‘สเตเบิลคอยน์’ (STABLE Act) อย่างหนัก โดยระบุว่ากฎหมายดังกล่าวยังขาดการกำกับดูแลในระดับรัฐบาลกลางและละเลยความเสี่ยงสำคัญบางประการ
มาซซาดกล่าวว่า แม้ร่างกฎหมาย STABLE Act จะมีจุดแข็งบางประการ เช่น การกำหนดให้ผู้ให้บริการถือ ‘ทุนสำรองเต็มจำนวน’ และการจำกัดกิจกรรมของผู้ออกเหรียญ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ โดยเขาชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องหลัก ได้แก่ มาตรฐานที่อ่อนแอจากรัฐ, ระบบการกำกับดูแลที่ไม่เพียงพอ, การขาดแนวทางจัดการกรณีที่ผู้ออกสเตเบิลคอยน์ล้มละลาย, ความเสี่ยงด้านอาชญากรรมทางการเงิน และการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร นอกจากนี้ เขายังตั้งข้อสังเกตว่า ร่างกฎหมายไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงพอกับผลกระทบต่อสเตเบิลคอยน์ขนาดใหญ่อย่าง ‘เทเธอร์’(USDT) รวมถึงขาดอำนาจแก่หน่วยงานกำกับดูแลเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดในอนาคต
โจนาธาน ยาคิม(Jonathan Yachim) รองที่ปรึกษาทั่วไปของกระดานซื้อขายคราเคน(Kraken) แสดงความเห็นว่า ควรมี ‘กฎระเบียบที่ชัดเจน’ สำหรับกระดานซื้อขายแบบรวมศูนย์ (CEX) และ CFTC ควรได้รับอำนาจกำกับดูแลตลาดซื้อขายคริปโตแบบสpot มากขึ้น ขณะที่จีฮุน คิม(Jihoon Kim) ประธานสภานวัตกรรมคริปโต กล่าวว่า แม้ว่าตั้งแต่สมัยรัฐบาล ‘ทรัมป์’ จะมีการปรับปรุงความชัดเจนด้านกฎระเบียบบ้างแล้ว แต่แนวทาง ‘เน้นการบังคับใช้’ ของแกรี เกนส์เลอร์(Gary Gensler) อดีตประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดเป็นอย่างมาก
ตลาดสเตเบิลคอยน์ในสหรัฐฯ ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 2.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 333.5 ล้านล้านวอน) ท่ามกลางการหารือเรื่องการแก้ไขกฎหมายอย่างต่อเนื่อง นักวิเคราะห์มองว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องมี ‘กฎระเบียบแบบบูรณาการในระดับรัฐบาลกลาง’ และโครงสร้างกำกับดูแลที่ชัดเจนเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตลาด
ความคิดเห็น 0