ทรัมป์ดันควินเทนซ์นั่งประธาน CFTC ลั่นยกระดับกฎคริปโตให้ชัดเจน-เป็นมิตรกับอุตสาหกรรม

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอชื่อ ไบรอัน ควินเทนซ์(Brian Quintenz) เป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการซื้อขายสินค้าอนุพันธ์สหรัฐ(CFTC) คนใหม่ โดยในคำให้การต่อสภาสูงเมื่อวันที่ 10 ที่ผ่านมา (เวลาท้องถิ่น) เขาให้คำมั่นว่าจะผลักดัน ‘กฎระเบียบที่ชัดเจน’ สำหรับอุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งสะท้อนถึงจุดยืนสนับสนุนคริปโตอย่างชัดเจนของทรัมป์

ควินเทนซ์เคยร่วมงานกับ a16z คริปโต ซึ่งเป็นฝ่ายลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของแอนเดรสเซน ฮอโรวิทซ์ อีกทั้งยังนั่งในคณะกรรมการของแพลตฟอร์มตลาดทำนายผล KalshiEX จึงตกเป็นเป้าคำถามจากคณะกรรมการการเกษตรของวุฒิสภาที่กำกับดูแล CFTC อย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม เขาระบุว่าจะขายหุ้นของ KalshiEX ทั้งหมดหากการเสนอชื่อได้รับการอนุมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางผลประโยชน์

ควินเทนซ์เคยดำรงตำแหน่งใน CFTC มาแล้วในปี 2021 ก่อนจะไปรับหน้าที่หัวหน้าฝ่ายนโยบายของ a16z คริปโต เขาชี้ว่าประสบการณ์ครั้งนั้นช่วยให้เขามองเห็นทั้งศักยภาพและข้อจำกัดของตลาดคริปโต พร้อมเรียกร้องให้สภาคองเกรสยกระดับกรอบกำกับดูแลให้เหมาะสม เพื่อ ‘ปลดล็อกพลังของเทคโนโลยีบล็อกเชน’ อย่างแท้จริง “กฎระเบียบที่ไม่ชัดเจนคืออุปสรรคใหญ่” เขากล่าว

สำหรับจุดยืนนโยบาย เขาเน้นว่า ‘ความชัดเจนในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล’ ถือเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะในแง่ของสิทธิในการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ หรือการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และแนวทางนี้ก็สอดคล้องกับปรัชญาของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการสร้างกฎเกณฑ์ที่โปร่งใสและเป็นธรรมในภาคดิจิทัล

ตามนโยบายใหม่ที่ทรัมป์เสนอ อำนาจกำกับดูแลหลักของสินทรัพย์ดิจิทัลจะเปลี่ยนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์(SEC) มาอยู่กับ CFTC ซึ่งจะส่งผลให้คริปโตไม่ถูกจัดประเภทเป็น ‘หลักทรัพย์’ แต่เป็น ‘สินค้า’ แทน ความเปลี่ยนแปลงนี้จะเอื้อให้เกิดกรอบกำกับที่ ‘เป็นมิตรกับอุตสาหกรรม’ มากขึ้น และมีลักษณะยืดหยุ่นกว่าอย่างชัดเจน ความคิดเห็น: ข้อเสนอนี้อาจเปิดทางให้บริษัทคริปโตในสหรัฐดำเนินธุรกิจได้สะดวกยิ่งขึ้น

CFTC เองเพิ่งยอมรับว่ากฎระเบียบในปัจจุบันยังไม่สามารถครอบคลุมความซับซ้อนของคริปโตได้อย่างเหมาะสม จึงยิ่งเพิ่มความชอบธรรมให้แก่แนวทางใหม่ ภายใต้การดำรงตำแหน่งของควินเทนซ์ การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการแต่งตั้งผู้บริหารใหม่เท่านั้น แต่ยังอาจเป็นก้าวสำคัญสู่การยกระดับบทบาทของ CFTC ให้กลายเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐอย่างเต็มตัวอีกด้วย