บริษัท จีเนียส กรุ๊ป(Genius Group) ธุรกิจด้านการศึกษาโดยใช้ AI สัญชาติสิงคโปร์ ได้แสดงจุดยืนที่แข็งแกร่งต่อ *บิตคอยน์(BTC)* อีกครั้ง ด้วยการเพิ่มการถือครองมากถึง 52% หลังยุติข้อพิพาททางกฎหมายกับพันธมิตรเก่า ส่งผลให้สามารถกลับมาดำเนินกลยุทธ์การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้อีกครั้ง
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม บริษัทได้ซื้อ *บิตคอยน์(BTC)* เพิ่มอีก 34 หน่วย ส่งผลให้การถือครองรวมเพิ่มจาก 66 หน่วยเป็น 100 หน่วย โดยการซื้อครั้งนี้มีต้นทุนเฉลี่ยราว 106,000 ดอลลาร์ต่อหน่วย หรือประมาณ 13.9 ล้านบาท มูลค่ารวมของการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 3.42 ล้านดอลลาร์ หรือราว 47.5 ล้านบาท ทำให้ตอนนี้บริษัทถือ *บิตคอยน์(BTC)* รวมคิดเป็นมูลค่าราว 10.06 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 139.8 ล้านบาท
การลงทุนครั้งใหม่เกิดขึ้นหลังจากศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขตที่ 2 มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ให้ยุติข้อจำกัดทางกฎหมายที่เคยมีต่อการควบรวมกิจการระหว่าง จีเนียส กรุ๊ป กับบริษัท FatBrain AI ส่งผลให้บริษัทสามารถดำเนินการซื้อขาย *บิตคอยน์(BTC)* ได้อีกครั้ง และได้ใช้เงินราว 2.7 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 37.5 ล้านบาท เพื่อเร่งขยายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้แผน “กลยุทธ์ทุนสำรองบิตคอยน์” ที่มีเป้าหมายการถือครองสูงสุดถึง 1,000 หน่วยในอนาคต
โรเจอร์ แฮมิลตัน(Roger Hamilton) ประธานบริหารของ จีเนียส กรุ๊ป กล่าวว่า “การถือครอง *บิตคอยน์(BTC)* ถึง 100 หน่วยครั้งนี้ เป็นผลจากการที่เราสามารถฟื้นสิทธิ์ในการบริหารเงินทุนตามที่คณะกรรมการและผู้ถือหุ้นประสงค์ไว้” พร้อมเสริมว่า นี่คือก้าวสำคัญสู่เป้าหมาย 1,000 หน่วยในระยะยาว
ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปี จีเนียส กรุ๊ป เคยประสบกับข้อจำกัดด้านการระดมทุนและการลงทุนใน *คริปโตเคอร์เรนซี* โดยต้องขาย *บิตคอยน์(BTC)* บางส่วน จากผลของคำสั่งศาลท้องถิ่นในสหรัฐฯ ซึ่ง แฮมิลตัน เคยวิพากษ์คำตัดสินดังกล่าวว่าเป็นผลจาก “ข้อมูลที่ผิดพลาด” และ “แรงกดดันทางการเงิน” โดยบางบุคคลที่เกี่ยวข้องกำลังถูกสอบสวนในข้อหาฉ้อโกง
ราคาหุ้นของบริษัทสะท้อนแนวโน้มเชิงบวกตามข่าวกฎหมายและกลยุทธ์ใหม่ โดยข้อมูลจาก Google Finance ระบุว่า หุ้นของ จีเนียส กรุ๊ป เคยร่วงจากจุดสูงสุด 0.70 ดอลลาร์ (ประมาณ 972 บาท) ในเดือนมกราคม เหลือเพียง 0.22 ดอลลาร์ (ประมาณ 306 บาท) ในเดือนเมษายน แต่ล่าสุดได้ฟื้นตัวมาอยู่ที่ 0.36 ดอลลาร์ (ประมาณ 500 บาท)
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเปี่ยมด้วยความไม่แน่นอน จีเนียส กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าปรับ *บิตคอยน์(BTC)* ไปสู่การเป็น *สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์* ที่ใช้เป็นเครื่องมือรักษามูลค่าได้อย่างมั่นคง ความเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้บริษัทร่วมอุตสาหกรรมด้านการศึกษาและเทคโนโลยีรายอื่นต้องหันมาทบทวนยุทธศาสตร์การเงินของตนเองใหม่เช่นกัน
ความคิดเห็น 0