รัฐบาลไทยเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมคริปโตอย่างจริงจัง ด้วยการประกาศ ‘ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับกำไรจากการซื้อขายคริปโต’ เป็นระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป โดยนโยบายนี้มีเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันประเทศให้กลายเป็น ‘ฮับสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งเอเชีย’
เมื่อวันที่ 17 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จุรพันธุ์ อมรวิวัฒน์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า มาตรการเว้นภาษีนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ แต่ยังช่วยสร้างรากฐานระยะยาวให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ตามนโยบายใหม่นี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 ถึง ธันวาคม 2029 นักลงทุนบุคคลธรรมดาที่มีกำไรจากการขายคริปโตจะไม่ถูกเก็บภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้การลงทุนในคริปโตในไทยต้องเสียภาษีในรูปแบบหัก ณ ที่จ่าย 15% ซึ่งสร้างข้อถกเถียงและลดแรงจูงใจในการลงทุนไปไม่น้อย
ในขณะเดียวกัน กรมสรรพากรไทยก็อยู่ระหว่างเตรียมบังคับใช้กรอบการรายงานข้อมูลสินทรัพย์ดิจิทัล ‘CARF (Crypto-Asset Reporting Framework)’ ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่เอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามประเทศโดยอัตโนมัติ มุ่งเพิ่ม ‘ความโปร่งใสในการทำธุรกรรม’ และสกัดกั้นเงินทุนผิดกฎหมาย
การตัดสินใจของรัฐบาลสะท้อนการตอบรับเชิงบวกจากภาคเอกชน โดยบิทคับ(Bitkub) แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แถลงว่ามาตรการนี้นอกจากจะดึงดูดนักลงทุนในประเทศแล้ว ยังช่วยเปิดประตูให้กับบริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย
‘ความคิดเห็น’: การกำหนดกติกาที่ชัดเจน และแรงจูงใจทางภาษี เป็นสององค์ประกอบหลักที่ช่วยลดความไม่แน่นอนสำหรับนักลงทุน ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับอุตสาหกรรมนี้โดยรวม
ปัจจุบัน หลายแพลตฟอร์มระดับโลก ทั้ง ไบแนนซ์(Binance), คูคอยน์(KuCoin) และอัพบิท(Upbit) ได้เปิดสำนักงานในไทยแล้ว สอดคล้องกับแผนการของรัฐบาลในการออกพันธบัตรโทเคน ‘G-โทเคน’ มูลค่า 105 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1,574 ล้านบาท ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เป็นโครงการนำร่องครั้งแรกของประเทศ
อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนชาวต่างชาติยังมีข้อจำกัดสำคัญ โดยผู้ที่มีถิ่นพำนักในไทยไม่สามารถเปิดบัญชีบนแพลตฟอร์มในประเทศได้ และต้องผ่านมาตรการยืนยันตัวตน(KYC) ที่เข้มงวด นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ยังได้สั่งระงับบริการจากแพลตฟอร์มไร้ใบอนุญาตอย่าง บายบิต(Bybit), OKX และคอยน์เอ็กซ์(CoinEx) เนื่องจากข้อกังวลเรื่องการฟอกเงิน
ในอีกด้านหนึ่ง ประเทศเวียดนามก็เริ่มขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เข้าร่วมสมรภูมิสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเมื่อวันที่ 14 รัฐสภาเวียดนามได้ผ่านร่าง ‘กฎหมายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล’ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2026 ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ คริปโตจะถูกจัดจำแนกออกเป็น 2 ประเภท พร้อมกำหนดโครงสร้างทางเทคนิคและรากฐานการยอมรับจากภาครัฐ
การเคลื่อนไหวของไทยและเวียดนามในช่วงเวลานี้ ยิ่งตอกย้ำว่าการแข่งขันเพื่อแย่งชิงบทบาทศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาคได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะแนวทางของไทยที่ใช้นโยบาย ‘ชัดเจนและตรงเป้า’ ผ่านการลดภาษี ถือเป็นจุดน่าสนใจในเวทีโลก ที่หลายประเทศกำลังมองหาสมดุลระหว่าง ‘ความโปร่งใส’ และ ‘แรงจูงใจด้านการลงทุน’ ในโลกของคริปโตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น 0