คำสั่งแบน 'เทเลแกรม' โดยรัฐบาลเวียดนามกลายเป็นตัวเร่งที่สะท้อนจุดอ่อนเชิงโครงสร้างในตลาดคริปโตอย่างชัดเจน โดยจากรายงานของไทเกอร์รีเสิร์ช (Tiger Research) ระบุว่า หลังจากมีคำสั่งปิดกั้นการเข้าถึงเทเลแกรมภายในประเทศตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน 2025 กิจกรรมของกลุ่มคริปโตหลักลดลงอย่างฮวบฮาบถึง *45%* ภายในเวลาสั้น ๆ ตอกย้ำถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวเป็นหลักของอุตสาหกรรม
เทเลแกรมกลายเป็นช่องทางสื่อสารที่แทบขาดไม่ได้ของวงการคริปโต ด้วยคุณลักษณะเด่นด้านการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ฟังก์ชันกลุ่มขนาดใหญ่ รวมถึงการใช้งานร่วมกับบ็อต โดยแพลตฟอร์มนี้ถูกใช้ตั้งแต่การเปิดตัวโปรเจกต์คริปโต การบริหารชุมชน ไปจนถึงการสื่อสารกับนักลงทุน ไทเกอร์รีเสิร์ชชี้ว่านี่คือ ‘จุดล้มเหลวเพียงจุดเดียว’ หรือ *Single Point of Failure (SPOF)* ที่อาจทำให้ทั้งระบบสะดุดได้หากช่องทางนี้มีปัญหา
รัฐบาลเวียดนามประกาศแบนเทเลแกรมทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2025 ส่งผลให้ผู้ใช้งานคริปโตในประเทศต้องหันไปใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยง แต่การเข้าถึงผ่าน VPN กลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อผู้ใช้ทั่วไป โดยเฉพาะกับชุมชนท้องถิ่นหลัก 10 กลุ่ม ที่ยอดชมเฉลี่ยหายไปเกือบครึ่งทันทีภายในไม่กี่วัน ผู้ใช้งานจึงเริ่มมองหาแพลตฟอร์มทดแทน เช่น ดิสคอร์ด, ซิกแนล รวมถึงแอปสื่อสารท้องถิ่นอย่างซาโล แต่ยังไม่มีแพลตฟอร์มใดที่ตอบโจทย์ได้เท่ากับเทเลแกรมในแง่ของ *ฟีเจอร์และการเข้าถึงพร้อมกัน*
ดิสคอร์ดแม้เหมาะกับนักพัฒนา แต่ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ทั่วไป ขณะที่ซิกแนลเด่นด้าน *ความปลอดภัย* แต่ขาดเครื่องมือที่เหมาะสำหรับกลุ่มคริปโต ไทเกอร์รีเสิร์ชระบุว่า แม้เทเลแกรมจะไม่ใช่แอปแชทเบอร์หนึ่งในแต่ละประเทศ แต่กลับเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมโยงข้ามพรมแดนได้ดี และทำหน้าที่เป็น ‘จุดร่วมระดับโลก’ ซึ่งยากจะหาตัวแทน
ทั้งนี้ เทเลแกรมยังเผชิญกับความท้าทายด้าน *กฎระเบียบ* จากหลากหลายประเทศ เนื่องจากนโยบายความเป็นส่วนตัวที่เข้มข้น ขัดแย้งกับความพยายามของรัฐบาลต่าง ๆ ที่ต้องการตรวจสอบกิจกรรมผิดกฎหมาย ทำให้หลายประเทศใช้มาตรการคุมเข้ม ตั้งแต่การแบนบางแชนแนลไปจนถึงแบนทั้งแอป อย่างไรก็ตาม หลังจากการจับกุมพาเวล ดูรอฟ (Pavel Durov) ซีอีโอของบริษัท เทเลแกรมเริ่มขยับท่าที โดยเริ่มเผยแพร่รายงานด้านความโปร่งใสในบางประเทศ พร้อมแสดงความร่วมมือเป็นบางกรณี ส่งผลให้ความเสี่ยงจากการโดนแบนทั่วโลกดูจะ *ลดลง* ในระยะสั้น
แพลตฟอร์มเทเลแกรมยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบนิเวศของ *TON (The Open Network)* ซึ่งให้บริการทั้งกระเป๋าคริปโตและเกมในเครือโดยตรงผ่านแอป เมื่อเทเลแกรมถูกปิดกั้น การใช้งานของ TON ก็ได้รับผลกระทบทันที ทั้งในด้านยอดผู้ใช้งานและกิจกรรมการซื้อขาย โดยการขยายระบบหรือแม้แต่ความอยู่รอดของโปรเจกต์อาจสั่นคลอนได้หากปัญหาดังกล่าวยังคงยาวนาน
กรณีเวียดนามจึงกลายเป็นตัวอย่างสะท้อนการพึ่งพาเทคโนโลยีบนฐานของ "ความสะดวกสบาย" ที่อาจนำมาสู่ความเสี่ยงเชิงระบบของอุตสาหกรรมคริปโต ไทเกอร์รีเสิร์ชย้ำว่า การกระจายความเสี่ยงผ่าน *การใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลาย* ไม่ใช่แค่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้ตลาดดิจิทัลสามารถขยายฐานผู้ใช้งานอย่างมั่นคงและลดความเปราะบางต่ออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นจากการพึ่งพาทางเดียว
ความคิดเห็น 0