เกรย์สเกล (Grayscale) ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) เพื่อขอแปลงทรัสต์ของริปเปิล(XRP) เป็นกองทุน ETF อย่างเป็นทางการ กลายเป็นประเด็นร้อนที่สะกดสายตาของนักลงทุนอีกครั้ง คำร้องนี้มีความสำคัญเนื่องจาก SEC ได้ยืนยันว่า ‘รับเรื่องแล้ว’ นับจากนี้ SEC มีเวลา 240 วันในการตัดสินใจว่าจะอนุมัติหรือไม่ ซึ่งทำให้กระบวนการพิจารณาเข้าสู่ขั้นตอนนับถอยหลังอย่างชัดเจน
แม้ว่าบิตคอยน์(BTC) และอีเธอเรียม(ETH) ได้รับอนุมัติให้เป็น ETF ไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ริปเปิลยังติดขัดเพราะปัญหาด้านกฎหมายที่ยืดเยื้อมานาน อย่างไรก็ตาม การเจรจาระหว่างบริษัทริ플และ SEC ในช่วงหลังเริ่มมีความคืบหน้า ทำให้ความไม่แน่นอนทางกฎหมายเกี่ยวกับ XRP เริ่มลดน้อยลง
ริปเปิลเคยมีมูลค่าตลาดพุ่งสูงถึง 128,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 177.9 ล้านล้านวอน ซึ่งเคยขึ้นไปอยู่ในอันดับ 3 รองจาก BTC และ ETH ขณะเดียวกันยังมีปริมาณการซื้อขายต่อวันที่มากกว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.6 ล้านล้านวอน สะท้อนให้เห็นถึง ‘สภาพคล่อง’ ที่สูง หากสามารถแปลงเป็น ETF ได้สำเร็จ ก็มีแนวโน้มว่าจะเปิดประตูให้กลุ่มนักลงทุนฝั่งการเงินแบบดั้งเดิมสามารถเข้าถึง XRP ได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้โครงสร้างการซื้อขายและปริมาณธุรกรรมของ XRP ขยายตัวมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ช่วงเวลาของการยื่น ETF ครั้งนี้ก็น่าจับตาเช่นกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซี โดยดำเนินนโยบายผ่อนคลายกฎระเบียบ และส่งเสริมการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาใช้ในภาครัฐอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้ช่วยหนุนให้มุมมองจากภาครัฐต่ออุตสาหกรรมคริปโตเคลื่อนไปในทิศทางที่ ‘เป็นมิตร’ มากขึ้น จนทำให้โอกาสในการผ่านการอนุมัติ ETF ของ XRP ดูสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน
ขณะเดียวกัน บริษัทริเปิลและ SEC ก็มีเป้าหมายร่วมกันในการยุติข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมาหลายปี โดยล่าสุดได้ร่วมกันยื่นขอคืนเงินจากบัญชีเอสโครว์มูลค่า 125 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.7 แสนล้านวอน โดยจะแบ่งให้ทางริเปิล 75 ล้านดอลลาร์ และอีก 50 ล้านดอลลาร์จะกลับไปยัง SEC ซึ่งสื่อถึงความพยายามในการ ‘ปิดฉากคดีความ’ อย่างสันติ
ด้านราคาของ XRP ก็ยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา XRP พุ่งขึ้นถึง 340.1% ขณะที่ไตรมาสล่าสุดอยู่ที่บวก 4.02% และไตรมาสก่อนหน้านั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.45% เทรนด์การฟื้นตัวของราคาและกระแสคาดหวังต่อสถานะในตลาดทุน เป็นแรงเสริมให้กับความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสร้างแรงผลักดันให้ฝั่งซื้อกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางรายยังเตือนว่า ท่าทีที่ ‘อนุรักษ์นิยม’ ของ SEC และประเด็นทางกฎหมายเดิมๆ เกี่ยวกับ XRP อาจยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในผลการตัดสินใจ หาก ETF ไม่ได้รับการอนุมัติ ก็อาจเป็นสัญญาณชัดเจนว่าหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐยังคงระมัดระวังอย่างมากกับ XRP
ระยะเวลา 240 วันของการพิจารณาจาก SEC นี้ จึงอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่เพียงต่อตัว XRP เอง แต่ยังครอบคลุมถึงแนวโน้มการขยายตัวของสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบ ETF ในตลาดทั่วโลก หากคำขอได้รับอนุมัติ XRP ก็จะเข้าสู่ระบบทุนอย่างเต็มรูปแบบ และอาจได้รับการยกระดับขึ้นเป็น ‘เหรียญเมเจอร์รุ่นใหม่’ ในสายตานักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยทั่วโลก
ความคิดเห็น 0