Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

AI ปลอมเสียง-ภาพ! มิสบิตคอยน์ถูกแฮก ดันดีพเฟกเป็นภัยใหม่วงการคริปโต

การโจมตีด้วย ‘ดีพเฟก’ โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(AI) กำลังกลายเป็นภัยคุกคามใหม่ต่อวงการคริปโตทั่วโลก ล่าสุด ‘ไม ฟูจิโมโตะ’ (Mai Fujimoto) อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังด้านคริปโตในญี่ปุ่น ถูกแฮกบัญชีในเหตุการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงความสามารถของเทคโนโลยีปลอมแปลงใบหน้าและเสียงที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเหตุการณ์นี้ได้กระตุ้นให้ชุมชนคริปโตทั่วโลกเพิ่มระดับความระมัดระวังในการรักษาความปลอดภัย

ไม ฟูจิโมโตะ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘มิสบิตคอยน์’ ถูกหลอกผ่านวิดีโอคอลเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่ระหว่างสนทนากับคนรู้จัก เธอมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายผ่านวิดีโอแต่ไม่รู้สึกผิดปกติ อย่างไรก็ตามเกิดปัญหาเสียงล่าช้าระหว่างการพูดคุย และอีกฝ่ายได้ส่งลิงก์โดยอ้างว่าจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว เมื่อเธอคลิกที่ลิงก์ระบบรักษาความปลอดภัยทั้งหมดก็ถูกเจาะทันที มัลแวร์จากลิงก์ทำให้บัญชีเทเลแกรมและเมตามาสก์ของเธอถูกเข้าควบคุม ก่อนที่จะขโมยบัญชี X (ชื่อเดิมทวิตเตอร์) ของเธอด้วย

หลังจากเกิดเหตุการณ์ ฟูจิโมโตะรีบประกาศเตือนจากบัญชีของตนเองที่ถูกยึดคืนให้ผู้ติดตามอย่าคลิกลิงก์ใดๆ ที่ส่งมาจากบัญชีของเธอ เพราะอาจเป็นกับดักเพิ่มเติม เหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงพัฒนาการของการใช้ AI ในแวดวงอาชญากรรม ที่สามารถปลอมแปลงความเชื่อใจระหว่างบุคคลได้อย่างแนบเนียน

ในวันเดียวกัน จ้าว ฉางเผิง(CZ) ผู้ก่อตั้งไบแนนซ์ ได้โพสต์ข้อความเตือนภัยผ่าน X ระบุว่า แม้แต่วิดีโอคอลในอนาคตก็อาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เขาแนะนำให้หลีกเลี่ยงการติดตั้งหรือตอบรับลิงก์จากช่องทางที่ไม่เป็นทางการ แม้จะมาจากคนที่ไว้ใจก็ตาม โดยเขากล่าวว่า “เราเข้าใกล้จุดที่แม้แต่วิดีโอคอลก็ไม่ใช่การยืนยันตัวตนที่เชื่อถือได้อีกต่อไป” ซึ่งโพสต์ของเขามีผู้ติดตามมากกว่า 10 ล้านคน

จากรายงานของบริษัทด้านการลงทุน บิทเกต(Bitget) เปิดเผยว่า ประมาณ 40% ของคดีหลอกลวงทางคริปโตที่เกิดขึ้นในปี 2024 ถูกดำเนินการด้วยเทคโนโลยีดีพเฟก ซึ่งรวมแล้วสร้างมูลค่าความเสียหายสูงถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.5 แสนล้านเยน) โดยวิธีโจมตีรวมถึงการสร้างวิดีโอปลอมที่เลียนแบบบุคคลชื่อดังอย่างอีลอน มัสก์(Elon Musk), การแอบอ้างเป็นฝ่ายบริการลูกค้า และการส่งลิงก์แฝงมัลแวร์ผ่านระบบประชุมออนไลน์

ในอีกมุมหนึ่ง บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน เชนแนลลิสซิส(Chainalysis) ก็ระบุว่า เทคโนโลยีดีพเฟกยังถูกใช้เจาะระบบการยืนยันตัวตน (KYC) และทำให้กระบวนการหลอกลวงด้วย AI เป็นไปโดยอัตโนมัติ ล่าสุดในฮ่องกง เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาจำนวน 31 คน ที่ใช้วิดีโอปลอมแอบอ้างเป็นผู้บริหารของบริษัทคริปโต เพื่อหลอกเหยื่อให้โอนเงิน โดยเชื่อว่ามีมูลค่าความเสียหายถึง 24.5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 340 ล้านบาท)

สถานการณ์นี้สะท้อนว่าการพึ่งพามาตรการความปลอดภัยแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ความก้าวหน้าของ AI ทำให้ระบบยืนยันตัวตนและการสื่อสารที่เคยเชื่อถือได้ไม่สามารถใช้เป็นเกราะป้องกันได้เหมือนเดิม *ความคิดเห็น* ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้วงการคริปโตเร่งนำโซลูชันป้องกันที่สามารถตรวจจับ AI เข้ามาใช้อย่างเร่งด่วน รวมถึงเพิ่มกระบวนการตรวจสอบซ้ำในทุกขั้นตอนของการสื่อสารเพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้งานในอนาคต

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1