Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

ปัญหา MEV กระทบโซลานา(SOL)–อีเธอเรียมเลเยอร์ 2 เสี่ยงขาดความคุ้มค่าการขยายเครือข่าย

แม็กซ์แวลูเอ็กซ์แทรกชัน (MEV) กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางความสามารถในการขยายตัวของบล็อกเชนประสิทธิภาพสูง จากรายงานล่าสุดโดยผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน MEV อย่าง Flashbots ระบุว่า โซลานา(SOL) และเครือข่ายเลเยอร์ 2 ของอีเธอเรียม(ETH) อย่าง Base และ Optimism กำลังเผชิญกับปัญหา MEV อย่างรุนแรง โดยบอตค้นหา MEV ต่างแข่งขันด้วยการประมูลธุรกรรมแบบไม่เลือกหน้า ทำให้สิ้นเปลืองพื้นที่ในบล็อกและเพิ่มค่าธรรมเนียมที่ผู้ใช้งานต้องจ่าย

ปัญหาหลักอยู่ที่การที่บอต MEV พยายามจัดเรียงลำดับธุรกรรมใหม่เพื่อแสวงหากำไร โดยเฉพาะในสภาวะของเมมพูลแบบส่วนตัว (Private Mempool) ที่ข้อมูลคำสั่งซื้อไม่ถูกเปิดเผย บอตเหล่านี้จึงต้องใช้วิธีคาดเดา สร้างธุรกรรมที่ซับซ้อนจำนวนมากอย่างไร้จุดหมาย ทำให้เกิดภาระในการประมวลผลอย่างมหาศาล เบิร์ต มิลเลอร์ (Bert Miller) นักวิจัยของ Flashbots เผยว่า “แม้จะล้มเหลวซ้ำ ๆ แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสเพียงครั้งเดียวใน ‘การทำกำไรสองต่อแบบ two-hop arbitrage’ ก็อาจต้องใช้พลังงานถึง 132 ล้านก๊าซ ซึ่งเทียบเท่ากับพื้นที่ของ 4 บล็อกอีเธอเรียม”

สิ่งนี้ส่งผลให้ความพยายามในการเพิ่มศักยภาพเครือข่ายกลายเป็นเรื่องไร้ผล ข้อมูลจากรายงานเผยว่า บนโซลานา บอต MEV ครอบครองพื้นที่บล็อกสูงถึง 40% แต่ให้ผลตอบแทนค่าธรรมเนียมเพียง 7% เท่านั้น ส่วนเครือข่าย Base ที่เปิดใช้งานตั้งแต่พฤศจิกายน 2024 ถึงกุมภาพันธ์ 2025 แม้จะเพิ่มปริมาณรองรับธุรกรรมถึง 11 ล้านก๊าซต่อวินาที แต่พื้นที่เหล่านั้นกลับถูกใช้ไปกับกิจกรรมของบอต MEV เกือบทั้งหมด โดยไม่ส่งผลดีต่อประสบการณ์ผู้ใช้แต่อย่างใด

Flashbots จึงมองว่านี่คือ ‘ขีดจำกัดทางเศรษฐกิจของการขยายตัว’ ของบล็อกเชน และเสนอว่าจำเป็นต้องมีการออกแบบใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับลำดับความสำคัญของธุรกรรม แนวทางหนึ่งที่ถูกเสนอคือ ‘ความเป็นส่วนตัวแบบตั้งโปรแกรมได้ (programmable privacy)’ ซึ่งผสมผสานระหว่างการปกป้องข้อมูลผู้ใช้กับการจำกัดการประมูลธุรกรรมแบบเดาสุ่มของบอต โดยใช้กลไกราคาและขอบเขตการเข้าถึงข้อมูลในระดับจำกัด ร่วมกับการทดลองเทคโนโลยี Trusted Execution Environment (TEE) ซึ่งจะช่วยจำกัดพฤติกรรมที่เป็นอันตราย และเปิดโอกาสให้ MEV กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้อย่างปลอดภัย

ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มในวงการการเงินไร้ศูนย์กลาง(DeFi) ก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อจัดการกับปัญหานี้เช่นกัน จางเผิง จ้าว (Changpeng Zhao) อดีตซีอีโอบริษัทไบแนนซ์ ได้กล่าวถึงความจำเป็นในการสร้าง DEX แบบดาร์กพูลที่ใช้การพิสูจน์แบบศูนย์ความรู้ (Zero-Knowledge Proof) ส่วน Chainlink ได้เปิดตัวโซลูชัน ‘Smart Value Recapture’ ในช่วงกลางปี 2024 ซึ่งทดลองนำหลักการ MEV ที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียมาทำให้กลายเป็นรายได้ของระบบ โดยไม่กระทบต่อผู้ใช้งาน

ท้ายที่สุด MEV กลายเป็น *ปัจจัยชี้วัดสำคัญ* ที่มีผลต่อความคุ้มค่าและความยั่งยืนของโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน หากสามารถออกแบบเทคโนโลยีที่เหมาะสมได้ MEV อาจเปลี่ยนจากแหล่งต้นทุนและความสิ้นเปลือง ไปเป็น ‘แรงขับเคลื่อนที่ก่อให้เกิดประโยชน์’ แก่ระบบได้อย่างแท้จริง ความคิดเห็น: หากจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ MEV อาจเป็นเครื่องมือช่วยลดค่าธรรมเนียมและเพิ่มรายได้ให้กับเครือข่ายในระยะยาว

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1